ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ตายแล้วไปไหน

๒๙ พ.ย. ๒๕๕๒

 

ตายแล้วไปไหน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ฟังธรรมนะ การฟังธรรมะเนี่ย ธรรมดาการฟังธรรมอันนี้มันแสนยาก เพราะในสมัยพุทธกาล สมัยเมื่อสองพันกว่าปีแล้ว มันไม่มีเทคโนโลยี ไม่มีอะไรเลย งั้นการฟังธรรมเนี่ยต้องไปฟังปากต่อปากไง เหมือนกับพ่อแม่เล่านิทานให้ลูกฟัง ถ้าพ่อแม่เล่าให้ลูกฟัง ลูกต้องไปฟังสมัยนั้นเป็นอย่างนั้น การฟังธรรมถึงแสนยาก การฟังธรรมเนี่ยแสนยาก แต่ในปัจจุบันเทคโนโลยีมันมี วิทยุมันมี การสื่อสารมันมี เราบอกมันยากตรงไหน ได้ยินทุกวันเลย ได้ยินทุกวันเพราะเราเป็นชาวพุทธนะ ถ้าเราไปเกิดในที่ไม่ใช่ชาวพุทธนะ มันจะมีให้ได้ยินได้ฟังไหม การฟังธรรม ธรรมะคือสัจธรรม สัจธรรมที่รู้จริงออกมาจากใจ การฟังมันจะดูดดื่มต่างกัน อ่านหนังสือให้ฟัง มันได้ทั้งนั้น เอาหนังสือมากาง จะเกิดเสียงกระทบกระเทือนขนาดไหน ไม่สำคัญเลย เพราะอะไร เพราะหนังสือมันไม่หนีไปไหน

แต่เวลาเทศน์ด้วยปฏิภาณ ด้วยความรู้สึก มันเป็นขึ้นมาจากใจ พอมีเสียงกระทบนะ ใจมันหายแว้บเลย เหมือนเราคิดเรื่องใดอยู่ แล้วพอมีการกระทบเนี่ย ความคิดมันหายไปเลย จริงไหม เราจะพูดอะไรต่อเนื่อง พอมีอะไรมาขัดแย้งปั๊บ เห็นไหม เนี่ย ตรงนี้ มันถึงว่าการฟังเทศน์ การฟังเทศน์พระป่าต้องนิ่ง แล้วมันจะออกมาออกมาจากความรู้สึกอันนี้

ถาม : ๑. การพูดคุยระหว่างการฟังธรรมพระเทศนา จะได้ผลกรรมอย่างไร อย่างไรบ้าง

ตอบ : ได้กรรมมหาศาลเลย การฟังเทศน์นะทีนี้คนเรามันไม่เข้าใจนะ ถ้าคนเข้าใจศึกษาเรื่องของศาสนานะ เราจะเป็นคนดีขึ้นมหาศาล อย่างเช่น พวกโยมเดินเข้ามาในวัด แล้วเดินออกไปจากวัด เนี่ย เศษฝุ่นที่ติดไปจากรองเท้าเนี่ยก็เป็นกรรมแล้ว เพราะของของสงฆ์ ของของสงฆ์ ของในวัดเนี่ยของของสงฆ์ใช่ไหม แล้วนี่พูดถึงเศษฝุ่นในวัดมันเป็นของส่วนกลาง เหมือนกับเราฉ้อโกง ของของสงฆ์เหมือนกับของสาธารณะ เราเอาของสาธารณะไปใช้ประโยชน์ในบ้านเราได้ไหม แต่ของสาธารณะ สาธารณูปโภค มันใช้ร่วมกันใช่ไหม ของรัฐบาลไง ของสาธารณะอย่างเช่น ตอนนี้นะไอ้พวกเด็กมันไปถอดน็อตตามเสาไฟ เพื่อเอาไปขาย เพื่อหาประโยชน์ของมัน นั่น คิดดูดิ มันถอดน็อตผลประโยชน์ของมันแค่ แค่เศษเหล็ก แต่แสงสว่างความปลอดภัยของคน มันมีคุณค่าขนาดไหน นี่ไง เราใช้ของสาธารณะแล้ว เราคิดว่ามันไม่มีโทษไง

สงฆ์ก็เหมือนกัน สงฆ์นี่เป็นของสาธารณะ สงฆ์ของสงฆ์ส่วนกลาง ภิกษุน้อมลาภส่วนกลางมาเป็นส่วนตน เนี่ยเวลาของสงฆ์เป็นส่วนกลาง แล้วเราเนี่ย โธ่! แบบว่าเราฉ้อฉล เราจะใช้มากกว่าเขา ได้มาเป็นของส่วนกลาง อุ้ยใหญ่กว่าต้องใช้มากกว่า ไอ้ข้างหลังต้องใช้น้อย ๆ เห็นไหม เนี่ย ผิดแล้ว แม้ของส่วนกลาง ของของสงฆ์ ทีนี้ของของสงฆ์ นี่พูดถึง มันเป็นวัตถุนะ แล้วถ้าฟังธรรม ฟังธรรมมันมีคุณค่ามากกว่านั้น

การฟังธรรมนี่ หลวงตาพูดบ่อย ใครไปฟังวิทยุหลวงตา หลวงตาบอกว่า การฟังธรรมนี้แสนยาก เพราะการฟังธรรมธรรมที่แท้จริงแสนยาก อย่างเช่น ในปัจจุบันนี้ใครเป็นมะเร็งใครเป็นเอดส์ เป็นอะไรต่าง ๆ นี่ ต้องการยารักษามากเลย แล้วยามีไหม ยาไม่มี ฉะนั้นก็ประคองอาการกันไปเฉย ๆ

ธรรมะก็เหมือนกัน ธรรมะที่ออกมาจากใจนี่มันแก้กิเลส กิเลสมันคืออะไร เราก็ไม่รู้ เป็นโรคอะไรเนี่ย ทุกคนนี่จิตใจมันป่วยหมดนะ ป่วยอะไร ป่วยเพราะอะไร ป่วยเพราะเราไม่รู้ตัวเราเอง ป่วยเพราะเราไม่อิสรภาพ กิเลสมันครอบงำอยู่ แล้วจะเอาอะไรไปรักษามัน ธรรมะนี่ไง รักษามัน ธรรมะนี่แก้ไขได้ ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วปัญญาเกิดอย่างไร มีการศึกษา จะสร้างปัญญา วันนี้มาสร้างบุญ บุญนี่จะเป็นปัญญา อันนี้เป็นโลกียะปัญญา เป็นวิชาชีพ ถ้าปัญญาทางโลกแก้กิเลสได้นะ ศาสตราจารย์ ด็อกเตอร์มันเป็นพระอรหันต์ หมดแล้ว ศาสตราจารย์ไหน มันรู้วิชาการหมดแหละ ตัวมันเองไม่รู้จักตัวมันเองนะ นี่ไง ธรรมะแก้โรคภัยไข้เจ็บในใจ คือโรคกิเลส

ฉะนั้นการพูดคุยระหว่างฟังพระธรรมเทศนา จะได้รับผลกรรมอย่างใด คนรักษานี่นะ เวลาคนไข้นี่ เวลาจะเข้าห้องผ่าตัด เขาต้องเลือกที่ปลอดเชื้อ ถ้าเราไปผ่าตัดแล้วได้ของแถมติดเชื้อมาด้วย การฟังธรรมนี่เขาต้องการความสงบ ทุกคนต้องการความสงบ ทุกคนต้องการธรรมะเข้ามาชำระล้างใจเรา แล้วเราไปพูดคุยกันจุ๊บจิ๊บ จุ๊บจิ๊บนี่ คนอื่นรำคาญไหม มันก็เหมือนคนที่รักษาไข้ แล้วเราเอาเชื้อเข้าไปในห้องนั้นนะ เราได้กรรมไหม เราได้กรรมไหม ระหว่างพูดคุย ระหว่างทำเนี่ย

การพูดคุยระหว่างฟังพระธรรมเทศนาจะได้ผลกรรมอย่างใด ก็เราไปทำลายสมาธิ ไปทำลายโอกาสของคนอื่น ไปทำลายทุก ๆ อย่างเลย ได้กรรมอะไร เรามีความจงใจ เรามีความตั้งใจทำสิ่งใดอยู่แล้วมีคนมันทำให้เราเสียสมาธิเป็นกรรมไหม เนี่ยกรรม นี้เราไม่เข้าใจนะ ไม่สำคัญเลย ไม่เป็นไรอัดเทปไว้เดี๋ยวฟังใหม่ ฟังเมื่อไหร่ก็ได้ ฟังเทศน์ อู๊ย ฟังจนเบื่อ เปิดทั้งวันทั้งคืนทั้งวัน๒๔ชั่วโมง ฟังจนไม่อยากจะฟัง ไอ้ฟังแบบ เข้าหูซ้ายทะลุหูขวามันไม่มีประโยชน์

ไอ้คนฟังเทศน์ คนเจ็บไข้ได้ป่วย คนมันรู้ถึงตัวมันเอง คนมันภาวนาแล้วติดขัด บางคนขึ้นมานี่ จิตมันมีอะไรเศร้าหมอง มันมีปมของมันอยู่ เขาฟังเทศน์ขึ้นมา เขาจะแก้ปมนั้น เขาจดจ่อ เขาตั้งใจนะ มันจะมาถึงเราไหม พวกนี้ไม่ปฎิบัติไม่รู้เรื่องนะ คนรู้เรื่อง หลวงตาท่านบอกท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น พระนั่งฟังเทศน์เต็มเลย หลวงปู่มั่นท่านเทศน์เรื่องพื้นฐานขึ้นมา เรื่องของศีล เรื่องของสมาธิ เรื่องของปัญญา ไอ้พวกเราขอศีล ศีลเป็นอย่างไร ศีลนะ ศีลก็ตัวหนังสือไง ศ ศาลา สระอิ ร เรือ ไง ศีลอยู่ในนู้น

แล้วศีลของเราล่ะ ศีลคือความปกติของใจ ใจเราปกติหรือยัง ใจคิดแบบนี้ หลวงพ่อเมื่อไรจะเลิกซะที จะกลับบ้าน ปกติไหม ตอนนี้ใจมันอยู่บ้าน มันไม่ปกติแล้ว นี้ไง ศีล สมาธิ ปัญญา พอพูดถึงเรื่องระดับของศีล ผู้ที่มีปกติของใจเขาจะปกติของเขา พูดถึงคนที่ทำสมาธิได้ก็สมาธิของเขา แล้วสมาธิทำอย่างไร สมาธิทำไง จิตตั้งมั่น จิตที่พลังงานที่ไม่คิด พลังงานที่ไม่มีความรู้สึกไม่มีความคิดออกมาเลยเป็นอย่างไร แล้วนี่พลังงานมันแสดงตัวเพราะความคิดเรานะ แล้วมีความคิด พลังงานถึงจะมีถ้าเราไม่มีความคิดพลังงานเราหาไม่เจอ แล้วทำไมมันปล่อยความคิด ปล่อยความคิดเข้ามาตัวมัน สมาธิเป็นไง หลวงปู่มั่นเทศน์มาปั๊บ คนนี้ทำมาระดับของเขา เขารับละ แล้วระดับปัญญาขึ้นละ ระดับของปัญญาขึ้นไป ระดับของโสดาบัน สกิทาคา อนาคามันจะขึ้นไป เพราะปัญญามันจะละเอียดเป็นชั้น ๆ ๆ เข้าไป พอชั้นๆ ๆ เข้าไป พอคนเขาฟัง เขาก็ตั้งใจฟังธรรมใช่ไหม เหมือนป่วย ป่วยไม่สบาย หมอไม่ต้องหรอก อยู่ พักผ่อนเดี๋ยวก็หาย เออ ไอ้นี่ป่วยปกติ ป่วยขึ้นมาไม่ไปหาหมอก็ได้ ป่วยแบบเป็นไข้ แต่ถ้าป่วยขึ้นมาพอไปหาหมอนะ หมอบอกมะเร็งขั้นสุดท้ายอีกห้าวันตาย ช็อกเลย

นี่เหมือนกันพอจิตของคนมันจะแก้กิเลสอย่างละเอียด มันรอเวลานะ เหมือนหมอให้ยา รอเวลาหมอให้ยา พอให้ยาระดับนี้ก็อย่างหนึ่ง ให้ระดับสูงก็อีกอย่างหนึ่ง เป็นอย่างไปเรื่อย ๆ นี่การฟังธรรมเขาตั้งใจของเขานะ คนมันเคยอยู่นี่ปั๊บ มันจะรู้ฝั่งนู้นฝั่งนี้มันเป็นไง ต้องเดินไปมาอย่างไร คนที่เคยปฏิบัตินะเวลาฟังรู้เลย เนี่ย สมาธิเป็นอย่างงี้ ปัญญาเป็นอย่างงี้ ปัญญาขั้นอย่างงี้เพราะอย่างงี้ เราทำแล้วไง เหมือนสถานที่เราเคยไปแล้ว เวลาเรามาภาวนาที่นี่ จากฝั่งนู้นเดินข้ามมาฝั่งนี้ เวลาไหนเรารู้ช่องทางหมด จิตมันไปอย่างไรมันไปอย่างไร อาจารย์พูดมานี่ เพี้ยะ เพี้ยะ เพี้ยะ เลย เนี่ยเวลาปฏิบัติ ต้อง! อาการต้องเป็นอย่างงี้ ต้องเป็นอย่างงี้ ๆ ไม่มีผิดพลาดจากนี้ไปเลย ถ้าผิดพลาดไป ต้องผิดคนหนึ่ง

อาการของอริยสัจ ถ้าใครพูดผิด คนนั้นไม่เป็น ถ้าคนเป็นมีอยู่ช่องทางเดียว อริยสัจมีหนึ่งเดียว ทีนี้หนึ่งเดียวพอทางขึ้นไปนี่ คนก็รอฟัง นี่พูดถึงการพูดคุยในการฟังธรรม มันมีผลกรรมเป็นอย่างไร มันสะเทือนใจมากนะ แค่นี้ เพราะมันเป็นสิ่งที่ทุกคนจับต้องไม่ได้ ทุกคนไม่รู้อะไรเป็นความดี ความชั่ว โอ ก็พูดแค่นี้เอง ก็พูดกันเบา ๆ สองคน เวลามันพูดกันมันออกรส สองคนลั่นเท่าศาลาเลย ยิ่งเงียบ ยิ่งสงัด เสียงมันยิ่งดัง ยิ่งจิตใจคนนะ เขาเรียกชวนะ เราตั้งใจทำสิ่งดี ๆ หูดี ตาดีไปหมดนะ คนภาวนาพอจิตใจมันเริ่มสงบ เสียงเบา ๆ นะ เราได้ยินชัดเจนเลย ไอ้คนที่มันคุยกันลั่น ๆ นะ เสียงที่เขาคุยกันอยู่มันไม่รับรู้นะ ถ้าจิตมันไม่รับรู้ มันไม่รับรู้หรอก

ทีนี้เราคุยกันนะ เราบอก แหม ของเล็กน้อย ทำไม โห พระเอ็ดเอาหนักหนาเลย มันไปทำลายโอกาสคนอื่นนะ ทำลายมาก นี้พูดถึงการคุยกันระหว่างฟังธรรมมันมีผลอย่างไร มันมีผลนะ ผลกระทบกระเทือนคนอื่นนะ มีผลเสียหายมาก เราต้องพยายาม เวลาเข้าไปในสิ่งที่ เขาเรียกมารยาทสังคม เราเข้าบ้านคน เราต้องถอดหมวก ถอดรองเท้าเลย ในวัดคนที่เขามาวัด เขามาวัดใจของเขา เขาจะมาพิสูจน์ของเขา แล้วเขาเตรียมพร้อมมาอยู่แล้ว แล้วเราไปทำลายโอกาสของเขา เราไปทำสิ่งที่ไม่ดี มันเป็นอย่างไร ทีนี้พอผลของกรรม คิดดูสิ เราไปทำให้คนเจ็บช้ำน้ำใจ เราไปทำให้คนอื่นเขาไม่พอใจเรา แล้วพอเราตายไปล่ะ ผลของกรรมมันจะเกิดตรงนั้นอีกชั้นนึง กรรมนี่นะมันเป็นปัจจุบัน แล้วมันยังต่อไปอีกยาวไกลเลยนะ ไอ้นั่นเป็นกรรมนะ

แค่ปัญหานี้ ฟังสิ อยากอธิบายมาก ไอ้ที่ว่าเวลาพูดคุยกันระหว่างฟังธรรม มันมีผลกรรมอย่างไร อยากอธิบายมาก แล้วอธิบาย อธิบายให้เข้าใจ งั้นคนถ้าเข้าใจแล้วนี่ มันจะเกรงใจเขา มันจะเกรงใจคนที่เขาปรารถนา เขาพอใจอย่างงั้น ไอ้เรามันไม่เห็นคุณค่าไง ไก่ได้พลอย ไม่เอา เอาข้าวเปลือกเม็ดเดียวพอ เอาข้าวเปลือกมา เอาพลอยไป ไก่ได้พลอยแล้วไม่รู้จักคุณค่าของมัน ไอ้คนที่เขารู้คุณค่าของมัน พลอยมีคุณค่ามากนะ เขาเสาะแสวงหาของเขา นั่น เขาฟังธรรม หนึ่งต้องสงบสงัดของเขา โอกาสของเรา ถ้ามัน เรายังไม่มีโอกาส เราจะเข้าไปมีปัญหาของเรา เรารอโอกาสอื่นก่อนให้ธุระเขาเสร็จไปก่อนนะ อันนี้ก็ดี...

ถาม : คนที่ทำแต่บาป ต้องตกนรกจริงไหมคะเพราะเหตุใด

ตอบ : ตกนรกแน่นอน บาปกับบุญ บุญกุศลนะ คำถามเนี่ย มันจะย้อนกลับไปเลยว่า เริ่มต้นจะคิดว่า ถ้าจริงๆ จะถามว่า นรกมีจริงหรือเปล่า นามันรกใช่ไหม ก็ถากถางเผามันก็หมด นามันรก นารก เขาก็ถากถางแล้วก็เผา นามันก็ไม่รกไง ไอ้นี่มันเป็นความรู้สึก มันเป็นโวหารนะมันเป็นโวหารของกิเลสที่เหยียบย่ำ ถากถาง ถากถางข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ไง

นรก สวรรค์ พรหมโลกมันเป็นสถานะ เมื่อก่อนตอนเช้ามามาจากไหน ตอนเช้ามาจากโรงเรียนใช่ไหม สมุทรปราการ มันผ่านอะไรมา ผ่านกรุงเทพมา ผ่านนครปฐมมา มาเข้าจังหวัดราชบุรี เห็นมะ สถานะ สถานะของนรก สวรรค์ มันเป็นภพ คำว่าภพนะ ดูสิ มนุษย์กับสัตว์ต่างกันอย่างไร มนุษย์กับสัตว์ มนุษย์ก็จิตหนึ่ง สัตว์ก็จิตหนึ่ง สัตว์มันเกิดในอบายภูมิไง อบายภูมิมีอะไรเดรัจฉานนรก นรกอเวจีไป ทีนี้พูดถึงว่า ทำบาปต้องตกนรกไหม ทำบาปนะจิตใจของคนอำมหิต จิตใจของคน ทำร้ายคนอื่นจิตใจคนอำมหิต ความอำมหิตคืออะไร คือน้ำหนัก เวลาตายมันไปไหน จิตใจของคนที่เป็นบุญกุศลนะ จิตใจเหมือนเหมือนปุยนุ่น มันเบาเห็นไหม

อย่างเราเนี่ย ใครก็ได้ เราเป็นคนเสียสละ เราเป็นคนช่วยเหลือคน เราเป็นคนจิตใจโอบอ้อมอารี จิตใจเราขุ่นมัวไหม ขุ่นมัว ขุ่นมัวโดยจิตเดิมแท้จิตใต้สำนึกมันมีกิเลสอยู่มันขุ่นมัวโดยธรรมชาติของมัน แต่ถ้าจิตใจเราเป็นสาธารณะ จิตใจเราโอบอ้อมอารี มันมีความสบายใจใช่ไหม เราจะบอกว่าแล้วจิตใจโอบอ้อมอารี มันพ้นจากกิเลสพระอรหันต์หรือ ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์จิตใจขุ่นมัวหมด แม้แต่ทำคุณงามความดี มันก็ติด มันก็ขุ่นมัวของมัน แต่ขุ่นมัวโดยเหตุผลที่เราควบคุมไม่ได้ เพราะมันไม่มีสัจธรรมเข้าไปแก้ไข

ฉะนั้น คนที่ทำคุณงามความดีพวกนี้ พวกไปสวรรค์ ไปสวรรค์หมายถึงว่า เวลาจิตมันทำความดีแล้ว เวลาตายไปมันเบา เห็นไหม ทีนี้ เบา เบาต้องให้ผลตายตัว กรรมเป็นอจินไตยไม่มีการตายตัว ไม่มีการตายตัวเพราะอะไร เพราะเมื่อวานเราทำดีมากเลย เมื่อเดือนที่แล้ว เราเป็นคนดีมากเลย เราเสียสละมหาศาลเลย แต่ เมื่อก่อนนู้นเราเคยทำอะไรไว้ล่ะ กรรมเก่ากรรมใหม่มันซับซ้อนกันมานะ อย่างกับพันธุกรรมทางจิต พันธุกรรมทางจิตของมันมี

ทีนี้จะบอกว่าคนที่ทำบาปต้องตกนรกไหม ร้อยเปอร์เซ็นต์ เราฉ้อโกงเขา แล้วเราบอกว่าลืม กูลืมไปแล้วไม่มี ไม่เคยฉ้อโกง ได้ไหม ทำบาปคือทำร้ายคนอื่น ทำลายคนอื่น บาปให้ผลเป็นบาป โทษนะ นี่พูดข้อเท็จจริง เหมือนคนที่แบบว่ามีมากเลย เด็กไม่อยากจะพูด ทีนี้มันแบบบุคคลาธิฐาน มันเป็นสิ่งที่เห็น ตอนนี้เขาคิดกันเห็นมะ ใครเคยทำแท้งให้ไปขอขมากับทารกเลย มีวัดเขาทำกันนะ เห็นไหม นี่ไงถ้าเราเคยทำสิ่งใดไว้ มันฝังใจเราไหม เราฆ่าเขา ทั้ง ๆ ที่สิทธิเราทำได้นี่ แต่เขาก็มีสิทธิของเขา

นี่บาปไหม ถ้าไม่บาปมันฝังใจไว้ทำไม มันคาใจเราไปทำไม เพราะความคาใจอันนั้น ความรับรู้อันนั้น นั่นนะ มันหนัก ถ้าทำบาปไว้ตกนรกแน่นอน เหตุผลของมัน เหตุผลคือข้อเท็จจริงไง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วไง เหตุผลของมัน เหตุผล เมื่อกี้เดินมา ตากแดด ร้อนไหม ถ้าบอกนรกไม่มี ตากแดดไม่ร้อนไง ยืนกลางแดดเลยเย็นสบาย เย็นสบายนะไม่ตกนรก นรกไม่ตก ยืนกลางแดดมันก็ร้อน ก็อุณหภูมิมันต่ำ มันก็หนาว ทำบาป ก็ต้องได้บาป แล้วทำบาปอยู่ที่ไหน นี่ไง

ตรงนี้ มันบังกันไว้ไง กาลเวลามันบังไว้ บังไว้ เห็นไหม เรายังมีลมหายใจเข้าออกอยู่นี่ สถานะเรายังไม่ได้รับผลตรงนั้น แต่ถ้ามีสถานะรับผลตรงนั้น ตรงนั้นคือตกนรกนะ คือตกนรกคือภพหนึ่งเลย แต่มันจะได้ให้ผลก่อน ให้ผลคือว่าสวรรค์ในอก นรกในใจ วิทยาศาสตร์จะพูดอย่างงี้ พระสมัยใหม่จะบอกว่านรกไม่มี นรกก็คือ สวรรค์ในอก นรกในใจไง คนทำชั่วมันก็เศร้าหมอง มันก็เหยียบย่ำหัวใจใช่ไหม ถูกต้อง สุคโต ปัจจุบันนี้ สุคโต มันจะไปสุคโต ปัจจุบันนี้มันทุกข์ มันก็ไปตกนรก ถ้าปัจจุบันมันสุข มัน สุคโตมันก็ต้องดูที่นี่ก่อนไง ตกนรกแน่นอน ทำชั่วต้องตกนรก จะให้ยันกันไง นี่อยากให้เถียง เพราะหลวงตาท่านห่วงมาก ท่านบอกนรกมี สวรรค์มี ถ้านรกมี สวรรค์มี พวกเราทำเนี่ย คือมันมีผลไง ทำให้พวกเราสำรวมระวัง มันเหมือนมีสติยับยั้ง จะทำสิ่งใดยับยั้งชั่งใจบ้าง เพราะเราทำไปแล้วนี่ ผลมันให้กับเราคนเดียวนะ ทำดีก็ให้ผลกับเรา ทำชั่วก็ให้ผลกับเรา

ทำดีเหนื่อยไหม ตากแดดตากฝน ทำบุญกุศล ต้องลงทุนลงแรง เหนื่อยไหม แล้วผลมันคืออะไร ผลของมันก็คือได้ประสบการณ์นะ ประสบการณ์อันนี้จะฝังใจไป วันนี้ทำสิ่งใดก็แล้วแต่นะ แล้วกลับไปชาตินี้ทั้งชาติจะจำวันนี้ได้ วันนี้จะฝังอยู่ในใจไป สิ่งที่ผ่านมาแล้วบุญกุศลมันจะฝังอยู่ในหัวใจนั่นน่ะ ใครทำอะไรมาได้เมื่อกี้นี้ มันจะฝังอยู่ในใจ เมื่อกี้ใครมีประสบการณ์สิ่งใดมา มันจะฝังไปตลอดชีวิตเลย ถ้าคิดถึงมัน ถ้าไม่คิดถึงมันก็ลืมนะ ลองใครมาฟื้นฝอยหาตะเข็บ จำได้เลย นี่ผลบุญผลบาปมันอยู่ที่นั่น สวรรค์ในอก นรกในใจนั่น

ถาม : ๒. การแก้กรรมมีจริงหรือไม่คะ

ตอบ : การแก้กรรมเนี่ยนะ การแก้กรรม ถ้าการแก้กรรมตามความเป็นจริง การแก้กรรม คือพุทโธ พุทโธ คือการแก้กรรม กรรมนี่แก้ได้ ถ้ากรรมแก้ไม่ได้ ปุถุชนจะเป็นพระอริยบุคคลไม่ได้ กรรม กฎกรรม มันตายตัว กัมมพันธุ กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กัมมปฏิสรโณ กรรมเป็นที่พี่งอาศัย กรรม เราทำแล้ว ข้อเท็จจริงมันบังคับละ ข้อเท็จจริงมันให้ผลกับจิตละ จิตมันต้องรับตามกรรมนั้น แล้วรับกรรมตามนั้น แล้วจะแก้กรรมได้อย่างไร

การแก้ได้คือ แก้ด้วย พุทโธ พุทโธ ภาวนาอย่างเดียว ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญามันจะไปแก้ แก้กรรมตรงไหน แก้กรรมตรงที่มันไปละสังโยชน์ไง สังโยชน์คือความผูกมัด ที่ความรู้สึกที่ในใจเรามันมัดเราไว้ไง พอวิปัสสนาไป มันจะไปแก้สังโยชน์ละสังโยชน์นั้นออกไป ถ้ามันแก้สังโยชน์นั้น เหมือนกับน็อต น็อตมัน จับเครื่องต่าง ๆ แท่นเครื่องเห็นไหม มันจับอยู่กับแท่นมันจับไว้ ถ้าเราคาย เราคายน็อตนั้นออก ระหว่างแท่นเครื่องกับเครื่องนั้นต้องหลุดออกจากกัน เวลาวิปัสสนาญาณเข้าไป มันจะไปแก้ไข แก้ไขสังโยชน์ ชำระสังโยชน์ขาด พอสังโยชน์ขาดออกไปแล้วนี่ กรรมมันต่อเนื่องกันไม่ได้

ถ้ากรรมมันต่อเนื่องกันไม่ได้ถ้ากรรมมันต่อเนื่องกันได้ ปุถุชน คนเราเป็นปุถุชน ไม่มีต้นไม่มีปลาย จิตนี้จะเกิดตลอดไป จะตายเกิด ตายเกิดตลอดไป ไม่มีวันที่สิ้นสุด แต่ถ้าเป็นพระโสดาบันปั๊บ อย่างมากอีก ๗ ชาติเท่านั้น เป็นพรหม เป็นอนาคา จะไม่เกิดในชาตินี้เลย จะไปเกิดบนพรหม ถ้าเป็นพระอรหันต์นะ พระอรหันต์นะ ธรรมธาตุมี ความรู้สึกไม่มี นิพพานไม่มี แต่ไม่เกิด ไม่เกิด นี่ไงแก้กรรมอย่างนี้ ฉะนั้นแก้กรรมในท้องตลาด แก้กรรมหาตังค์ เอาตังค์มา แล้วกูแก้ให้ เราจะบอกว่าความจริงมีนะ แก่นของธรรมนี้มี แต่โลกนี้เอาเรื่องนี้ไปเป็นสินค้า ไปเป็นธุรกิจกัน ใครที่ฉลาด เอาแม่ของธรรมเอามาจัดรูปแบบให้เป็นธุรกิจกันไป ถ้าบอกการแก้กรรมสิ่งที่เราทำกันอยู่นี้เป็นความจริงเหรอ

สิ่งที่เราแก้กันอยู่นี้ พูดถึงว่าเขาแก้กรรมกันนี่นะ แก้กรรมในพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าสอนให้อโหสิกรรมต่อกัน เวลาเราทำบุญกุศลตอนเช้า ตอนเช้าเราทำบุญกุศลกัน ให้อุทิศส่วนกุศลให้สรรพสัตว์ ถ้าพูดเรื่องกรรมยาวมาก มันมีอยู่ในกฎแห่งกรรม มันมีพี่น้องอยู่สองคน ป้า สองคน คนนึงยังไม่ได้แต่งงาน แล้วอีกคนแต่งงานก็มีหลาน พอมีหลานแล้ว เขาเป็นเศรษฐีมีเงินมาก เพราะหลานมาเกิดเป็นลูกไง รักนะ ใครไม่รักลูกเพราะรักลูกเห็นไหม ลูกเล่นการพนัน ลูกติดหมดเลย ลูกผลาญเงินของแม่หมดตัวเลย แม่นี้ช้ำใจตาย ตายเลยนะ พอตายมาเข้าฝันพี่สาว เฮ้ย มึงเอาเงินไปให้ลูกกูอีกห้าสิบสตางค์นะ กูยังติดมันอีกห้าสิบสตางค์ คำว่าติดคือว่าแต่อดีตชาติมันมีการฉ้อโกงกันมา แล้วพอมาเกิดขึ้นมานี่ ก็มาเกิดเป็นลูกเป็นแม่กัน ไอ้แม่นี่นะ ก็ลูกเรา

นี่นะใครบอกว่าเราเอาเปรียบเค้า เราฉ้อโกงมา กูไม่คืนมึง โธ่ กูโกงนะ ของกู สบายมากกูไม่ให้มึงหรอก ชาติใดชาติหนึ่งมันจะไปเจอกัน แล้วไปเจอกันที่เราผูกพัน เรารักมาก ไม่ได้ขอ ให้เลย ให้เลย แล้วมันจะผลาญมึงจนหมด มันจะผลาญมึงจนหมด แล้วมึงจะรู้ว่ากรรมมีหรือ กรรมไม่มี นี่พูดถึงการแก้กรรม ทีนี้การแก้กรรมอย่างนี้ มันเป็นเรื่องสิ่งที่มีมาแล้ว พอสิ่งที่มีมาแล้ว เราทำกันมาแล้วใช่ไหม เราถึงได้บอก เราได้เตือน ตอนเช้าเห็นมะให้รักพ่อรักแม่ อย่างไรก็แล้วแต่ จะมีกรรมก็แล้วแต่ กรรมนั้นคืออดีต เราเป็นชาวธรรมะนะ เราอโหสิกรรม สิ่งที่ทำอะไรมานี่ เราอโหสิ แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร

เด็ก ๆ นี่ ไม่ได้ ศักดิ์ศรี ไม่ได้เลย ศักดิ์ศรีแพ้ไม่ได้เลย แพ้เป็นพระหมายถึงว่า เรารู้จักตัวเราเอง สิ่งที่เกิดขึ้นเราไม่ได้ทำ หรือถ้ามันผิดถูกทั่วไปนี่ เรารักษาตัวรอด รักษาตัวรอด แพ้เห็นมะ แพ้เป็นพระ คือเราควบคุมสถานการณ์ได้หมดเลย ชนะเป็นมาร ชนะ คนที่ชนะเหยียบย่ำเขาทั้งนั้น ทำลายเขาทั้งนั้น แล้วเดี๋ยวมึงจะไปเจอเหตุการณ์ข้างหน้า แล้วเดี๋ยวมึงจะหงายท้องกลับมา ไอ้พวกชนะ ชนะไปน่ะ เดี๋ยวมันจะหงายท้อง ไอ้ที่แพ้ ไม่ใช่แพ้โดยความยอมจำนน ไม่ใช่แพ้

แพ้เป็นพระ พระหมายถึงควบคุมสถานการณ์ได้หมด ควบคุมจิตใจเราด้วย ควบคุมตระกูลของเราด้วย ควบคุมสิ่งต่าง ๆ ได้หมดเลย แล้วแก้ไขวิกฤตการณ์นั้นไป เพราะคนเกิดมามีกรรมทุกคน ทุกคนเกิดมาต้องมีเหตุการณ์ที่ต้องกระทบกระเทือน ทุก ๆ คน คนเราเกิดมาแฟร์ ไม่มีสิ่งใดเลย ไม่มี เพราะการเกิด เกิดจากอวิชชา การเกิดเกิดจากกรรม การเกิดนั่งอยู่นี่ เกิดจากกรรม การเกิดเป็นมนุษย์นี่ มนุษย์นี่มีค่ามาก ชีวิตนี้มีค่ามาก สรรพสิ่งนี้มีค่ามาก เพราะเราจะเป็นเศรษฐี เป็นกุฎุมพีเพราะจิตนี้เป็น จิตนี้ได้ แต่ถ้าเราไม่เห็นคุณค่าจิตของเราเลยนะ เงินทองมากขนาดไหน เราทุกข์ทั้งนั้นเลย นี่ การแก้กรรมนะ การแก้กรรมด้วยการภาวนา ด้วยการปฏิบัติธรรม อันนี้มี แต่การแก้กรรมที่ไปทำกันนั้น มันเป็นเรื่องโลก ๆ มันเป็นพุทธศาสตร์หรือไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์จะเอาไงกัน

ถาม : ๓. ศาสนาคริสต์บอกว่าคนเราตายแล้ว เกิดครั้งเดียว ศาสนาพุทธบอกว่าเกิดแล้วตายหลายครั้ง อันไหนเป็นจริง

ตอบ : อันไหนเป็นจริง เกิดแล้วตายได้ครั้งเดียว มันก็เหมือนกับวัตถุ ถ้าวัตถุเกิดแล้วตายครั้งเดียว เห็นไหม วัตถุเกิดขึ้นมาใช้เสร็จแล้วแตกทำลาย เห็นไหม ก็จบ แต่พุทธศาสนา มันมีความผูกพัน ทำไมเจอหน้าแล้ว โอ้โห ทำไมคนนี้มันถูกชะตาน่าดูเลย พอเจอหน้าคนนี้ ไม่เคยเจอกันเลย พอเจอหน้าคนนี้ แหม ทำไมมันเหม็นหน้าเหลือเกินเลย ทำไมมันเป็นอย่างงั้น

ถ้าหากว่าคนเกิดมาชาติเดียวนะ เราจะบอกว่า เราอ้างบ่อย พ่อแม่นี่เป็นสายพานการผลิต โตโยต้า มันออกมารุ่นไหน มันก็รุ่นนั้นแหละ เหมือนกันเปี๊ยบเลย พ่อกับแม่นะ ทุกคนคลอดออกมาจากท้องแม่ แล้วพี่น้องกันในตระกูลเดียวกันเหมือนกันไหม ไข่ใบเดียวกันนะ คู่แฝดนะ นิสัยยังไม่เหมือนกันเลย นั่นน่ะ พันธุกรรมทางจิต พุทธศาสนา ถ้าเราเชื่อมั่นในพุทธศาสนา เชื่อมั่นในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระพุทธเจ้า เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมานะ บุพเพนิวาสานุสติญาณ จิตปัจจุบัน ที่จะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าน่ะ พอจิตสงบแล้ว ย้อนอดีตชาติ หมายถึงว่าข้อมูลโปรแกรมของจิต จิตที่จะสร้างเป็นพระโพธิสัตว์ มันเป็นอย่างไร ย้อนกลับไปได้ไม่มีต้นไม่มีปลาย เห็นไหม นี้เป็นวิชชา ๓ ของพระพุทธเจ้านะ

ในศาสนาทุกศาสนา มีศาสนาพุทธศาสนาเดียว ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าเราเป็นพระอรหันต์ เรารู้จริงตามหัวใจตามข้อเท็จจริง ศาสนาอื่นไม่มีศาสดาองค์ใดตรัสว่าเป็นพระอรหันต์เลย งั้นถ้าเราเป็นชาวพุทธ เรามีชาวพุทธ ชาวพุทธของเรา แบบว่าพระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ เราพิสูจน์ พิสูจน์ อย่างงั้นพิสูจน์ด้วยหัวใจ ถ้าหัวใจพิสูจน์ได้นี่ เราจะบอกว่า ในทางเรื่องศาสนา เรื่องศาสนาเรื่องที่มันแตกแขนงออกไปเรื่องของการเกิดและการตายต่าง ๆ นี่ พระพุทธเจ้าบอกไว้หมดนี่ มันกว้างขวางกว่าตั้งเยอะ

แล้วเราจะไปลัดบอกว่า เกิดตายครั้งเดียว อันไหนเป็นจริง อันไหนเป็นจริง อ้าวเราเป็นพระเราก็ต้องว่าพุทธศาสนาเป็นจริง เดี๋ยวหาว่าเราลำเอียง ไม่ได้ลำเอียงนะ เราพูดด้วยข้อเท็จจริง พิสูจน์ได้ มันพิสูจน์ได้นะ พิสูจน์ได้ พันธุกรรมทางจิต หมายถึงว่า จริตนิสัยคนไม่เหมือนกัน พี่น้องก็ไม่เหมือนกัน พี่น้องเกิดจากพ่อแม่เดียวกัน แล้วพ่อแม่รักคนไหน โอ๋คนนั้น จนเสียไปเลยก็มี แล้วคนที่พ่อแม่ไม่สนใจเลย คนนั้นกับเป็นคนดีขึ้นมา พ่อแม่รักคนนี้ หวังพึ่งคนนี้ คนนี้พึ่งไม่ได้เลย ไปพึ่งได้ไอ้คนที่ไม่หวังว่าจะได้พึ่งมันเลย ทำไมเป็นอย่างนั้น

พูดถึงว่าไอ้เกิดครั้งเดียว เวลาพูดถึงธรรมะ หรือพูดถึงศาสนา เขาต้องให้มีศาสนสัมพันธ์ คืออย่าพูดให้กระทบกระเทือนกัน เดี๋ยวมันจะมีปัญหากัน แต่เราพูดตามข้อเท็จจริง ตามข้อเท็จจริงมีพุทธศาสนาเท่านั้น พระพุทธเจ้ารู้ทันถึงจิตการเกิดและการตาย แก้ตายอย่างไร แต่ศาสนาอื่นไม่มีนะ เพียงแต่ว่า พอมาเผยแผ่ในพุทธศาสนา อริยสัจก็เอาพระพุทธศาสนาไปใส่ ต่างๆ ก็เอาพุทธศาสนาไปใส่ ภาษาเราโลกไม่มียาแก้ ไปไม่รอดหรอกโลกต้องมียา

โลกของกิเลส มันต้องมีอริยสัจ มรรคญาณ มีความดับทุกข์อะไรต่าง ๆ มันมีในพุทธศาสนาทั้งนั้น เขาถึงเอาสิ่งนี้ เขาแก้ไขแล้วเอาไปไว้ในศาสนาเขา ทุกศาสนาบอกต้องอ้อนวอนพระเจ้า ต้องทำเพื่อพระเจ้า พระเจ้าสร้างโลกต่าง ๆ เห็นไหม แล้วถ้าพุทธศาสนานะ กู คือพระเจ้า ทุกคนที่นั่งอยู่นี่ คือพระเจ้า เพราะจิตเวลาทำดี ไปเกิดเป็นพระอินทร์ เป็นผู้ปกครอง จิตเรานี่คือพระเจ้า ทุกจิตทุกวิญญาณที่นั่งอยู่นี้ เคยเกิดนรกสวรรค์ เคยเกิดในอเวจี เคยหมุนเวียนตายมาหมดแล้ว พระพุทธเจ้าบอกท่านก็เคยตกนรก จิตทุกดวงมันมาหมดแล้ว พอนึกถึงผีกลัวไหม นึกถึงผีกลัวไหม เราจินตนาการนรกสวรรค์ได้ไหม ได้หมดเลย เราจินตนาการนิพพานได้ไหม ไม่ได้ ศาสนาก็จินตนาการไม่ได้ แต่ถ้าทำจริง เราทำให้เป็นจริงได้

ถาม : ๔. คนเราตายแล้วจะต้องไปไหน

ตอบ : (หัวเราะ) ชั่วโมงหนึ่งไม่พอหรอก คนเราตายแล้วไปไหน ตายปั๊บ จิตออกจากร่าง เป็นคนกึ่งดิบกึ่งดี จะต้องผ่านไป ผ่านไปที่ยมบาล ต้องให้ยมบาลตัดสินว่าจะไปไหน เราเป็นคนชั่วสุด ๆ เราเป็นคนทำลายเลวทราม ตายปั๊บ เทวทัตลงนรกโดยที่ไม่ต้องผ่านใครเลย เราเป็นคนดีสุด ๆ มีสิ่งใดมาเราเสียสละหมดเลย ตายปั๊บ รถทิพย์มารอรับเลย ในปัจจุบันนี้ยังมีอยู่ ในสมัยพุทธกาลนะ ในสมัยพุทธกาลเวลาคนตายปั๊บ จิตตคฤหบดี รถเทวดามาเต็มเลย

เราบังเอิญ แปลก ประสบการณ์เราแปลก เรามาอยู่ที่โพธารามใหม่ ๆ มีอยู่คนหนึ่งย่าเขาตาย เขาไปปิกนิกนะ หลาน ๆ มาถาม เพราะพ่อของหลานเขารู้จักเรา เขามาถึงบอก หลวงพี่ ๆ นิมมานรดี คืออะไร ย่าเขาจะไปนิมมานรดี เราจับมับเลย ชีวิตในปัจจุบันตอนที่ย่ามีชีวิตทำไง โอ้โหใครให้เงินให้ทอง ทำบุญหมด ทำบุญของเขา แล้วเวลาเขาจะตาย อยู่โรงพยาบาลนะ เขาไปนอนอยู่ในโรงพยาบาล เขาบอกว่า เขามองไปที่หน้าต่าง รถทิพย์ รถม้า เหมือนรถม้า รถทิพย์มาลอยอยู่กลางอากาศ แล้วบอกลูกหลาน ย่าจะไปนิมมานรดีนะ เขาว่าจะไปปิกนิก เขาไปเที่ยว มันมีความสุข ปัจจุบันนี้ ครอบครัวนี้อยู่ในอำเภอโพธาราม แต่เขาไม่รู้ ถ้าเขารู้เขาจะไม่พูดอย่างนั้น

ทีนี้ ภาษาพระ นิมมานรดีคือสวรรค์ชั้นสี่ แล้วว่าย่าจะไปนิมมานรดี เหมือนเราจะไปปิกนิก ไม่ไป จะไปนิมมานรดี โอ้โห คนจะตายเขามีความสุขมาก ไอ้ลูกหลานก็งงนะ เขามาถามว่า นิมมานรดีมันคืออะไร แล้วเราย้อนกลับไปที่จิตตคฤหบดี ในสมัยพุทธกาล คือว่าวิทยาศาสตร์พิสูจน์กาลเวลา มันหมุนเวียนไป แต่ข้อเท็จจริงคือข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงมันเป็นอยู่อย่างนั้น ทีนี้คนตายแล้วแล้วจะต้องไปไหน มันไปนี่ไง กลับมาที่ว่า คนที่ทำแต่บาปต้องตกนรกไหม มันอยู่ที่เหตุผลในการกระทำนั้น อย่างเรานี่นะทำความดีไว้มหาศาลเลย แต่เวลาตายมันกังวล กังวล กังวลมากเลย เราเคยทำบาปไว้ สองสามอย่าง มันไปคิดแต่บาป ตายปั๊บไปบาปก่อน

โยมออกจากบ้าน พวกเราออกจากบ้านวันนี้ชุดนักเรียน เวลาออกจากบ้าน ถ้าอาจารย์แต่งชุดราชการ คือสถานะไง จิต จิตมันเป็นตัวจิต เวลาออกมันเสวยชาติอะไร เสวยภพอะไร การเสวยนั้นไปเกิดตามนั้น ทีนี้ว่าคนเราตายแล้วไปไหน มันเป็นไปตามกรรมนะ ไปตามกรรม ฉะนั้นคนโบราณ คนเวลาจะตายให้นึกถึงพระ ให้นึกถึงพระ เพราะไปคิดถึงอะไร คนปกติคิดอะไรก็คิดได้ทั้งนั้น โอ๊ยไม่คิดหรอกบังคับตัวเองได้ทั้งหมด แต่เวลาตายขึ้นมากรรมมันบังคับ เราคิดนอกจากสิ่งที่เรากระทำไม่ได้เลย เราจินตนาการสิ่งที่เราไม่เคยเห็นไม่ได้ สิ่งที่ดีและชั่ว เราทำมาจากความคิด มันฝังลงในสมองนี้หมด ทำสิ่งใดอยู่กับใจทั้งหมด อันนั้นล่ะบังคับไป คนเราตายแล้วไปไหน ไม่กลัวว่ามันจะไม่ตาย เออ ไม่เป็นไรหรอก ไม่กลัว โธ่ ไปโรงพยาบาลเขาบอกเป็นมะเร็งพรุ่งนี้ตาย ดูสิ กลัวไม่กลัว พรุ่งนี้พวกนี้ตายหมด ช็อกตายเลย แล้วคนจะรู้ว่าตาย

ถาม : ๑. คนที่ทำบาป ต้องตกนรกจริงไหมคะ

ตอบ : อันนี้เห็นไหม มันซ้ำกันมานะ ทำบาปต้องตกนรก ทำบาปต้องตกนรก ผลของมันให้ผลตามนั้น กรรมให้ผลตามนั้น ศาสนาพุทธบอก ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำไมต้องทำดีล่ะ ก็ทำดี เพื่ออย่างน้อยให้เป็นมนุษย์สมบัติที่มาเกิดกันอยู่นี่ มนุษย์สมบัติ คือมีศีลห้า ปาณาติปาตา อทินนา กาเม มุสา สุรา เรารักษาของเรา ศีลห้าคือมนุษย์สมบัติ แล้วมนุษย์สมบัติ มนุษย์เกิดมาแล้วทำไมอายุยืนแล้วทำไมบางคนเกิดมาแล้วอายุสั้น เห็นไหม ปาณาติปาตา ลักของเขา บางคนมันมีมาหา เขาไปหาแก้กรรมกัน ทำมาหากินไม่ได้เลย พอมีเงินซื้อของเข้าบ้าน ขโมยลักทุกที ขโมยลักทุกที เขาก็ไปหาอาจารย์เขา อาจารย์เขาบอกว่าชาติหนึ่งเคยเกิดเป็นภรรยาของโจร คือสามีปล้นมา แต่เราใช้สอยอยู่ เพราะอะไร เพราะเวลาเขาเอาของเข้าบ้าน หมดเลย

เนี่ยว่า แก้กรรม แก้กรรมไง การแก้กรรม สิ่งนั้นมันมีของมันนะ แต่เวลาเราจะเชื่อกรรม เชื่อกรรมทำให้ใจเราไม่ฟุ้งซ่าน แต่ทุกอย่างของเรา สิทธิของเรา เราต้องรักษา อย่างเช่น เราเนี่ย เห็นไหม มีลูกศิษย์มาถามเราเรื่อย ทำธุรกิจแล้วโดนเขาโกง เป็นกรรมเหรอ เป็นกรรม แล้วจะตามเรื่องไหมล่ะ บอกต้องตามสิ ต้องทำทุกอย่าง เราต้องปกป้องสิทธิของเราทั้งหมด ถ้ามันเป็นไปตามนั้น มันแก้ไขได้ก็แก้ไขได้ ถ้ามันแก้ไขไม่ได้ เห็นไหม ถึงที่สุดแล้ว

โธ่คนดี ๆ โดนโกงเยอะแยะ บริษัททั้งบริษัท เขาโกงไปเลย แล้วแก้ไขอะไรไม่ได้ด้วย เวลากรรมของคนมันมาถึงเวลานะ กรรมเป็นกรรม แล้ว ๒ ศาสนา ถามว่าอะไร ศาสนาคือศาสนา จะถามว่าอะไร ข้อที่ ๒ เขียนว่าศาสนาเฉย ๆ ศาสนา ศาสนาคือธรรมะ ศาสนาตัวศาสนา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระธรรมพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ศาสนธรรมคำสั่งสอนศาสนธรรมคืออริยสัจคือสัจจะความจริง มันมีอยู่ในดั้งเดิม แต่ข้อเท็จจริงมันมีอยู่ แต่เราเข้าไม่ถึงมัน นี่ตัวศาสนา ศาสนาคือตัวธรรม

พระเวลาประพฤติปฏิบัติหรือโยมปฏิบัติถ้าเวลาบรรลุธรรม รู้ธรรม คือรู้ตัวศาสนา รู้ศาสนาคืออะไร อริยสัจ สัจจะ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์คือสัจจะความจริงในหัวใจ ตัณหาความทะยานอยาก ทุกข์ สมุทัยคืออะไร สมุทัยคือตัวเร่ง ตัวพอใจไม่พอใจตัวคัดค้านมัน ตัวนี้ตัวเร่งยิ่งทุกข์มาก ทุกข์อยู่แล้วนะ อยากให้ทุกข์ดับน่ะ ตัวเร่งก็คือตัวสมุทัย ตัวมรรคญาณ มรรคญาณเข้าไปชำระมัน มันเกิดนิโรธ คือความดับ ความเข้าใจทั้งหมดเลย มันเป็นอริยสัจ แล้วจิตมันกลั่นออกมาเป็นอริยสัจ

อันนี้เป็นตัวศาสนา ตัวศาสนาไม่ใช่ภิกษุ ไม่ใช่พระพุทธรูป ไม่ใช่อะไรเลย ไอ้นั่นทองเหลือง ทองเหลืองหล่อขึ้นมาทองเหลืองนี่เขาหล่อขึ้นมาเป็นสมมุติสงฆ์ เป็นสมมุติองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นองค์สมมุติ ตัวแทนองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า เราจะกราบพระพุทธเจ้า พวกเราระลึกถึงคุณไง พ่อแม่ปู่ย่าตายายเราเป็นชาวพุทธ พ่อแม่ตายายเรามีจิตใจเมตตา ยิ้มสยาม ๆ ยิ้มออกมาจากใจ เห็นไหม แล้วสิ่งนี้มันตกผลึกมาในสังคมไทย แล้วในสังคมไทย เราเป็นชาวพุทธ ในทะเบียนบ้านเราเป็นชาวพุทธ

ชาวพุทธคืออะไร ชาวพุทธเราคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เวลาเราจะกราบพระพุทธเจ้า เราไม่เคยเห็น เราก็กราบตัวแทนไง นักวิทยาศาสตร์นะ เด็ก ๆ มันมา แม่กราบทำไมทองเหลือง ทองเหลืองที่ร้านขายเยอะแยะ ทำไมไม่ไปกราบ อันนั้นทองเหลืองเขาไม่ได้หล่อเป็นพระพุทธรูป สมมุติว่าเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ใช่พระพุทธเจ้า สมมุติให้เราเข้าใจ หมายถึงเราต้องมีสมมุติกันนะ ชื่อ ก็สมมุติกัน ชื่อพวกเราเนี่ย ก็ต้องมีสมมุติขึ้นมาเพื่อเรียกกันถูกไง

สมมุติไม่มีไม่ได้ สมมุติต้องมี มันจริงตามสมมุติ แต่บัญญัติมีอีกชั้นหนึ่ง วิมุตติอีกชั้นหนึ่ง ฉะนั้นตัวศาสนา คือศาสนธรรมที่พระพุทธเจ้าบรรลุธรรม แล้วเวลาสอน ปัญจวัคคีย์ อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ รู้สัจธรรมอันนั้น พอรู้สัจธรรมอันนั้นก็รู้ถึงจิตเพราะอะไร เพราะจิตมันรู้ถึงสัจธรรมอันนั้น พอจิตมันรู้สัจธรรมนั้น มันเข้าใจจิตหมด ขบวนการของจิตมันควบคุมได้หมด จิตนี้มึงจะไปไหน กูคุมมึงอยู่นี่ มึงจะไปไหน แต่ถ้าไม่มีสัจธรรมเลย กูไม่เห็นจิต จิตมันลากกูไป ทุกข์ฉิบหาย แต่ถ้าควบคุมได้ เห็นไหม ตัวศาสนา ตัวศาสนาคือสัจธรรมอันนั้น แล้วถ้าพระรู้ได้ อันนั้นคือตัวจริง

ถาม : จะเป็นคนดีต้องทำอย่างไร จะทำตัวอย่างไร

ตอบ : อันนี้สำคัญ จะเป็นคนดี ดีในสังคมโจร สังคมโจรถ้าเป็นคนดี ชวนเขาปล้น ชวนเขาฆ่า นั่นเป็นคนดีของเขา สังคมของบัณฑิต สังคมของพระ ทำคุณงามความดี มันต้องมีกาลเทศะ เห็นสังคม สังคมหนึ่ง เขามีการเป็นไปอย่างนั้น เราไปคัดง้างเขา เราไม่ใช่คนดีเหรอ เราไม่มีหลักยืน เราไม่มีจุดยืนเลยเหรอ เราเป็นคนดีแล้วพูดความดีแล้วเขาจะว่าเราได้ไง อ้าว กาลเทศะไง สังคมเขาเป็นอย่างนั้น

เนี่ยจะเป็นคนดีต้องเป็นอย่างไร เราเป็นคนดี ปรึกษาสิ มีครูมีอาจารย์ ศึกษาสิ สิ่งนี้ถูกต้องไหม ต้องทำอย่างไรไหม แล้วทำไมเพื่อนเขาทำกันอย่างงั้นล่ะ ทำไมเขาเป็นอย่างงั้นล่ะ ทำตัวเป็นคนดี มีศีล มีธรรม รักพ่อรักแม่ รักพ่อรักแม่นี่พูดบ่อย เพราะว่า เห็นใจพ่อแม่เดี๋ยวนี้ เพราะพ่อแม่เดี๋ยวนี้หาเงินให้ลูกไม่ทัน ลูกมันแบมืออย่างเดียว ทีนี้ถ้าอย่างงั้นปั๊บ เราก็ต้องมีอย่างงั้นเหมือนกัน

งั้นจะเป็นคนดีนี้พูดยาก ความดี อย่างที่พูดเมื่อกี้เห็นไหม ฟังธรรม ๆ แม้แต่ความสงบสงัด ความดีอันละเอียดก็ต้องมีแล้ว แล้วความดีของเรา กลับบ้านช่วยงานบ้านต่าง ๆ ก็เป็นคนดี ทีนี้ถ้าเป็นคนดีอย่างนี้ เวลาเราพูดตอนเช้าเห็นไหม ว่ากิจของสงฆ์สิบอย่าง ถ้าเราเทียบในสมัยปัจจุบัน พระเนี่ยนะ มันก็มีค่าเท่ากับคนกวาดขยะใน กทม. เหรอ ก็เขาก็ทำความสะอาด อันนั้นเขาทำกันอย่างนั้นเขาไม่ใช่สงฆ์ แต่สงฆ์เนี่ย ทำไมมันต่างกัน

มันต่างกันเพราะอะไร เพราะเราทำความสะอาดนะ เวลาหลวงปู่มั่น ที่ว่าพระไปเยี่ยมหลวงปู่มั่น หลวงปู่ฝั้นไปหาหลวงปู่มั่นใช่ไหม โอ้ กลิ่นหอมหมดเลย มันหอมอะไรไม่รู้ ไม่ใช่ธูป ไม่ใช่เทียน หลวงตาท่านก็จับไว้ พอหลวงปู่ฝั้นกลับแล้ว ตกกลางคืนท่านไปหาหลวงปู่มั่น ที่หลวงปู่ฝั้นบอกว่ามันหอมหมดเลย แต่มันไม่ใช่หอมธูปหอมเทียน มันคืออะไร

โอ้โห รุกขเทวดาเต็มไปหมดเลย เขามารอฟังธรรม เพราะว่ามีครูบาอาจารย์มาหาหลวงปู่มั่น เพราะหลวงปู่มั่นจะเทศน์ธรรมะเขาจะรอฟังธรรมเห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน เวลาทำสิ่งนี้มันละเอียดลึกซึ้งเข้าไปในที่เรามองไม่เห็นไง เราไม่เห็นสิ่งนั้นนะ งั้นถ้าเรามองแบบวิทยาศาสตร์ไง โอ้ ความดี อย่างนี้ความดี กวาดถนนนี่เป็นความดีเหรอ ล้างห้องน้ำเป็นความดีเหรอ เป็นความดีสิ

โธ่ ลูกศิษย์เรามีอยู่คนนึง เขาบอก เขาขอสร้างห้องน้ำ ทำไมนะ อ้าว เวลาโยมเขามานะ เขาจะไปหาห้องน้ำก่อน หรือเขาจะไปหาหลวงพ่อก่อน ห้องน้ำมันมีศักยภาพกว่าเราอีกนะมึง ใครขี่รถมาจากกรุงเทพฯนะจอดรถปั๊บ วิ่งเข้าไปหาห้องน้ำก่อนเลย ไม่เคยวิ่งมาหาเราเลย อ๊ะ แล้วเราไปล้างห้องน้ำ คนเวลาปวดขับถ่ายทุกข์มาก แล้วเราไปทำที่สะอาดให้เขาขับถ่ายได้บุญไหม แล้วเราจะมองว่ามันต่ำต้อยไหม

ถ้าคนคิดเป็นธรรมนะ ถ้าคนคิดเป็นธรรม คิดเป็นโลกนะ โอ้โห ต่ำต้อยมาก ความดีอย่างงี้เหรอ นี้พูดถึงว่าคนดีทำตัวอย่างไร เราจะบอกว่ากาลเทศะ ตอนนี้เด็กทำดี ดีก็คือเรียนหนังสือ โตขึ้นมาดี ดีก็ดีอีกอย่างหนึ่ง แล้วถ้าดีแบบนายกรัฐมนตรี ดีแบบรัฐมนตรี เขาต้องบริหารประเทศชาติ เขาจะดีอย่างไร ความดีมันมีมากนะ ทีนี้พูดให้ตายตัวไป มันเถรตรงไม่ได้ เราเถรตรงเราอยู่ในสังคมไม่ได้นะ เราต้องมีปัญญา เราต้องมีการคัดเลือก เราต้องรู้จักของเรา

ถาม : การสวดมนต์ได้อะไรบ้าง

ตอบ : การสวดมนต์ คือการเจริญพุทธคุณ การเจริญพุทธคุณได้อะไร เจริญพุทธคุณ เราคิดถึงพระพุทธเจ้า เห็นไหมเรากราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราได้อะไร เรากราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คนคิดถึงพุทธะๆ พุทโธ ๆ ๆ เห็นไหม เพราะพุทโธเนี่ย เป็นชื่อของพระพุทธเจ้า ถ้าพูดภาษาบาลีนี่นะ ในเทวดา อินทร์ พรหม จะรู้หมดเลย เพราะภาษาบาลีนี่มันเป็นภาษากลางเหมือนภาษาอังกฤษ ภาษาบาลีเป็นภาษากลางของศาสนา ศาสนาเนี่ย

คนตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม พอเจอเทศน์หลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านถามอยากฟังเทศน์เรื่องอะไร เขาพูดภาษาบาลี นี่เทศน์ให้ฟังเลย เทศน์ให้ฟังขณะนั้นเลย ฉะนั้นการสวดมนต์ เราสวดภาษาบาลี หลวงปู่ชอบท่านธุดงค์มา หลวงตาเล่าให้ฟัง ท่านธุดงค์มาพักอยู่ที่เพชรบูรณ์ แล้วท่านอยู่ในถ้ำ ท่านก็ นะโมตัสสะ ภะคะวะโต พูดเบา ๆ เนี่ย ท่านสวดมนต์ทุกวัน เวลาท่านธุดงค์ต่อไปเนี่ย โอ๋เทวดามาเต็มเลยนะอาราธนาขอให้อยู่ที่นั่น บอกว่าโอ้โหท่านอาจารย์อยู่ที่นี่นะ โอ๋ มันร่มเย็นเป็นสุขไปหมดเลย โอ๋ มันมีความสุขมาก มันมีความชุ่มชื่นมาก เพราะเวลาอาจารย์สวดมนต์นะ โอ้โห มันกังวานไปทั่วเลย เนี่ย กังวานไปทั่วเลย

ท่านบอกว่าพระองค์เดียวอยู่ในป่า มันจะพูดดังได้อย่างไร มันที่สงบสงัดใช่ไหม ก็พูดปกติ เหมือนเราบ่น ก็ นะโมตัสสะ ภะคะวะโต แต่มันกังวานไปหมดเลย เห็นไหม นี่การสวดมนต์ การสวดมนต์ เราเป็นชาวพุทธใช่ไหม เราสวดมนต์ได้อะไรบ้าง ได้บุญกุศล เป็นที่รักของเทวดา อ๋อ ได้อะไรบ้าง เทวดาจะรักมาก ทุกคนจะรักมาก เหมือนกับเราสวดมนต์ให้เขาได้อนุโมทนา เทวดาถ้าเขาอยากทำบุญนะ เขาไม่มีโอกาสเหมือนเรา เราเป็นมนุษย์ โยมอยากทำบุญ โยมตักบาตรได้เลย โยมเสียสละได้เลย เทวดาทุกคน เสียสละให้เขาเขาไม่เอานะ เพราะในเทวดาไม่มีตลาด ในเทวดาทุกอย่างเป็นทิพย์หมด มันเกิดจากวิญญาณาหาร มันเกิดขึ้นมาจากบุญกุศลของเขา เวลาเทวดาจะตายนะ เทวดาจะมีแสง เปล่งรัศมี แสงสว่างมาก มีความสุขมาก แล้วพอใช้ไป ๆ แสงมันเหมือนแบตเตอรี่ แสงจะหมดไปเรื่อย ๆ พอแสงมันหมด ดับไป ดับไปก็คือตาย พอแสงใครต่อแสงใคร มันไม่ได้ใช้แบตเตอรี่นี่ เอาแบตเตอรี่มาชาร์ตให้มึง มันไม่ใช่ ไม่ใช่ ๆ บุญใครบุญมัน นี่การสวดมนต์ได้บุญมาก ได้บุญของเขา นี่พูดถึงการสวดมนต์จะได้อะไรบ้าง อันนี้จบ

ถาม : การอุทิศบุญกับการแผ่เมตตาต่างกันอย่างไร

ตอบ : การอุทิศบุญกุศลนะ การอุทิศบุญกุศลเนี่ย เจาะจง การอุทิศคือ อุ ทิส สะ มันมี เวลาคนเขาไหว้เจ้ากันเห็นไหม เขาไหว้เจ้าแล้ว เขาจะไหว้ เรียกว่าไหว้ห่อเฮียตี๋ คือไหว้ผีที่ไม่มีญาติ ถ้าผีไม่มีญาติปั๊บ เราไม่รู้จักเขานี่ เราเสียสละไปนี่ มันก็เหมือนกับของเนี่ย ของนี่เป็นของสาธารณะ ทุกคนมาหยิบฉวยได้ ทุกคนหาได้ เวลาเราตายนะ ถ้าเราทำบุญไป มันจะมี เห็นมั๊ย เมื่อก่อนที่มีพันเอก........ ที่บอกว่าใครตายไปจะได้อย่างงั้น ใครตายไป คนขี้เหนียวเขาทำกล้วยลีบ ๆ สองลูก เวลาตายไปก็เจอกล้วยลีบ ๆ สองลูกนั่น อันนี้พอเราตายไป ไปถึงจะบอกที่เมื่อกี้ พอเวลาตายปั๊บ คนดีคนชั่วนี่ต้องไปพบยมบาล พอยมบาลปั๊บนี่ ตอนนี้มันไม่ใช่วิญญาณาหารยังไม่ใช่เทวดา ตรงนี้มันเป็นอะไรนะ ไม่ใช่สัมภเวสี มันต้องไปแบ่งแยก งั้นมันต้องมีอาหารของเขานี่ พอมีอาหารของเขานี่พอจับปั๊บหายเลย จับปั๊บหายเลย เพราะเป็นสิทธิของบุคคลไง อีกคนหนึ่งจะไปใช้สิทธิของคุณไม่ได้ เพราะมันเป็นนามธรรม

ฉะนั้นเวลาเขาไหว้ไปนี่ เขาอุทิศไปนี่ พออุทิศไปนี่แล้วเป็นสาธารณะ แต่ถ้าอุทิศระบุชื่อ พ่อแม่ปู่ย่าตายาย ถ้าได้ชื่อนี่ มันเหมือนกับของบุคคลไปถึงเดี๋ยวนั้นเลย เวลาอุทิศส่วนกุศลเหมือนเทียน เรานี่เอาเทียนเล่มหนึ่ง ต่อเทียนต่อๆไป เห็นไหมเทียนเรายังอยู่ครบไหม เราจะบอกว่าถ้าอุทิศส่วนกุศล อุทิศได้เป็นล้านๆ ๆ ๆ เลย ของเราชิ้นเดียวนี่ อุทิศได้เป็นล้าน ๆ ๆ ๆ เลย ของยังเท่าเก่านะ ของไม่บุบสลายเลย งั้นอุทิศไปขนาดไหนก็ไม่บุบสลาย

ทีนี้การอุทิศนี่ การอุทิศหมายถึงว่า ชื่อบุคคลเลย เพราะชื่อบุคคล คนตายไปแล้ว แล้วคนตายไปแล้วอุทิศจะได้ทุกคนเหรอ มันได้ ที่มันมีอยู่ภพหนึ่งที่ได้เลย จะไปได้เลย ถ้าอีกภพต่อ ๆ ไปยังรับไม่ได้ คำว่ารับไม่ได้หมายถึงว่า ของเขานี่ โทษนะ อาหารใส่ทางนู้นก็ต่างกัน อาหารของภพชาติมันต่างกันนะ อาหารที่เข้าไปอยู่กับเรานี้ต่างกัน แต่เราอุทิศจากความรู้สึก อุทิศความรู้สึก จิต โทรจิต เห็นไหม อุทิศความรู้สึกมันถึงกัน

ที่ว่าการอุทิศส่วนกุศลกับการแผ่เมตตาต่างกันอย่างไร การแผ่เมตตาเห็นไหม เรานั่งทำความสงบของใจ ใจมันสงบแล้วนี่ แล้วการแผ่เมตตาเรามีเมตตาจริงหรือเปล่าที่จะแผ่ให้เขา ถ้าเรามีเมตตาจริงเราจะแผ่ก็ได้ แล้วทำความสงบของใจเราจึงแผ่เมตตาใช่ไหม อุทิศส่วนกุศลหมายถึงว่าทำบุญอุทิศส่วนกุศล แล้วเวลาอุทิศของเราทำจิตสงบแล้วเราก็อุทิศได้ การอุทิศนี่ การแก้กรรม แก้กรรมนี่ อย่างเช่น เรานี่ เราเคยทำคนให้ใครเสียใจคนหนึ่ง ทีนี้เราระลึกได้ใช่ไหม ขอโทษ ๆ ไอ้เขาก็โกรธตายห่าเลย ก็ขอโทษ ขอโทษ อ้าว เขาก็ใจแข็ง เราสำนึกผิดแล้ว

การแผ่เมตตาการอุทิศส่วนกุศลก็เพราะเหตุนี้ไง บุญกรรมนี่ไงบุญกรรมที่เราได้สร้างกันมาไง การขออภัย การทำคุณงามความดีต่อกัน นี่พูดถึงการอุทิศส่วนกุศลนะ ใครจะเชื่อไม่เชื่อ มันเป็นเรื่องนามธรรมไง นามธรรมคิดเท่าไหร่ก็ได้ จะคิดทองคำให้เป็นภูเขาเลยก็ได้ ก็ของกู ๆ แต่ไม่มีเลย งั้นนามธรรมคิดได้ตลอดใช่ไหม แต่ถ้าทำบุญกุศลแล้วเขาบอกว่า ถ้าอย่างงั้นเราก็คิดแผ่กุศลโดยที่ไม่ทำบุญดิ ไม่ทำบุญก็คิดไม่ได้อีก เราไม่เคยทำอะไรเลย อ้าว ก็คิดเรื่องบุญสิ บุญ ก็ บ ใบไม้ สระอุ ญ หญิง ไง แล้วบุญเป็นไง บุญก็ เป็น บ ใบไม้ไง บ ใบไม้สระอุ บุญ ๆ แล้วบุญเป็นไง บุญ ก็ บ ใบไม้ไง เพราะมันไม่ได้ทำ แต่ได้ทำนะ การเสียสละไป มันมีความรู้สึก การเสียสละ หยิบสิ่งของขึ้นมา หัวใจมันตระหนี่เลยล่ะ ของกู ๆ ๆ ๆ มันให้ไม่ได้หรอกแล้วเราสละไป

ความรู้สึกอันนี้เห็นไหม มันฝังอันนี้ไง ถ้าเสียสละไปสิ่งนี้มันเสียสละไปสิ่งนี้เราทำไปแล้ว เราคิดถึงพ่อแม่ปู่ย่าตายายของเรา ไม่มีการเสียสละมันไม่มี ไม่มีหรอกแต่มันต้องมีการเสียสละ มีการกระทำของมันก่อน แบตเราไม่มีไฟเลยแล้วเราจะไปติดรถ รถแบตหมดนะไฟมันก็ติดเครื่องไม่ได้แล้ว แล้วแบตไม่มีไฟเลย ไปถึงไปใส่เลยติดเครื่องเลย ไม่มีทาง แบตมันต้องไปชาร์ตก่อนโว้ย จิตใจที่จะอุทิศส่วนกุศลน่ะ มีอะไรอุทิศ มันจะอุทิศส่วนกุศลมันต้องมีบุญอุทิศส่วนกุศลของมันสิ ทุกข์เกือบตายอุทิศความทุกข์ให้เขาสิ เอาทุกข์ไปที ๆ ไม่มีใครเอา เขาจะเอาแต่บุญ

ถาม : การใส่บาตรพระกับประเคนอาหารถวายพระได้บุญต่างกันหรือไม่คะหรืออย่างใดได้บุญมากกว่า

ตอบ : การใส่บาตรพระได้บุญมาก การใส่บาตรพระ เห็นไหม เราถือธุดงควัตรกันไง การใส่บาตร ถ้าพูดงี้พรุ่งนี้บาตรเต็ม การใส่บาตรพระหมายถึงว่า พระต้องมีกิจกรรมไง พระต้องออกมาบิณฑบาต การใส่บาตรพระนี้ทำให้ศาสนานี้มั่นคง เพราะพระนี้นะเวลาบวชพระขึ้นมาแล้วนี่นะ บุคคลต้องมีอาหารมีปัจจัยสี่ เวลาพระบวชเห็นไหม บาตรคืออาหาร ผ้าสามผืน มีเข็มเย็บผ้า แล้วก็มีธัมมกรกน้ำ แล้วก็มีธัมมกรก ผ้าสามผืน แล้วก็ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า คือหาเองได้หมด พระพุทธเจ้าจะให้พระนี้เป็นอิสระไม่ให้พระนี้อยู่ในการครอบงำของใคร

ถ้าพระมีความอิสระนี่ พระพยายามจะภาวนาของตัวเองได้ ถ้าพระอยู่ในความครอบงำของใคร คน ๆ นั้นจะครอบงำ จะเข้าถึงสัจธรรมไม่ได้ ฉะนั้น การใส่บาตรพระนี่ได้บุญมาก อันดับหนึ่งเลย การใส่บาตรพระกับการประเคนอาหารถวายพระได้บุญต่างกันอย่างไร การประเคนมันก็เท่ากับถวายพระนั่นแหละ มันก็เหมือนกับการใส่บาตร การใส่บาตร เนี่ยใส่บาตร พระต้องมีกิจกรรม โทษนะ ถ้าพระองค์นี้ทำตัวไม่ดี เราจะใส่บาตรไหม การใส่บาตรนี้เป็นการตรวจสอบพระได้ด้วย บริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา สามารถตรวจสอบกัน แล้วศาสนาจะมั่นคง ถ้าพระองค์นี้ดี ใส่บาตร บาตรล้น ใครก็อยากใส่บาตรพระองค์ที่ดี ๆ พระองค์ที่ไม่ดีใครจะไปใส่ นี้การใส่บาตร พระต้องออกมาบิณฑบาตใช่มั๊ย ถ้าพระไม่ดีจะกล้ามาบิณฑบาตไหม พระเนี่ย ตัวนี้ โห ทำตัวเลวทรามเลย เช้าขึ้นมาก็ใส่บาตร ๆ เขาไม่ใส่ให้หรอก นี่การใส่บาตรพระเป็นการตรวจสอบพระ

การใส่บาตรพระนี่อันดับหนึ่ง เพราะเป็นธุดงควัตร พระต้องมีกิจกรรม พระต้องบิณฑบาต พระไม่บิณฑบาตแล้วจะฉันอะไร เดี๋ยวนี้พระไม่ต้องบิณฑบาตเขาไปส่งถึงกุฏิ

การประเคน การประเคนมันเป็น มันเป็น เขาเรียกอะไรนะ วินัยกรรม ภิกษุ ของที่เขาไม่ได้ถวาย ตักใส่ปากนะ เป็นอาบัติทุกคำกลืน คำกลืนเป็นปาจิตตีย์หมด เพราะอะไร เพราะเขาป้องกันเอาไว้ว่า ว่าสิ่งนั้นเขาไม่ได้ให้ ของต้องให้นะ ของสิทธิของเขา โยมเอาอาหารมาตั้งไว้นี่ แล้วบอกไม่ให้เรานะ เรากินนะเป็นอาบัติทุกคำเลย ถ้าประเคนแล้ว เราถึงกินได้ การไปบิณฑบาตก็คือเขาประเคนใส่บาตร การบิณฑบาตคือเขาประเคนแล้วเขาให้ ประเคนก็คือยกให้

การบิณฑบาตคือเขาใส่บาตรให้ แต่การใส่บาตรให้พระต้องออกไปรับ แต่การนั่งอยู่นี่แล้วเอามาประเคน การประเคนหมายถึงการให้ การให้อทินนาทาน ลักของเขาโดยที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ หยิบของใครโดยที่เจ้าของไม่ได้ให้ คือการลัก นี้การประเคนมันเป็นการสิ้นสุด ของ เราเสียสละให้ นี้การประเคนได้บุญมาก การเป็นวินัยกรรม แต่มันก็เหมือนกัน ไม่เหมือนเพราะพระไม่ได้ออกไป

นี่การประเคนได้บุญต่างกันอย่างไร ใส่บาตรได้บุญแล้ว ทีนี้บางคนใส่บาตรแล้วยังไม่ได้บุญ พระยังไม่ได้ให้พร พระต้องเล่นคอนเสริ์ตนะ ยะถานี้เป็นแถวเลยนะ พระจะแสดงคอนเสริ์ตกลางถนน ไม่ได้ มันเป็นวัฒนธรรม มันเป็นวัฒนธรรมของเขาแต่ของเราไม่ใช่ เราคิดกันมาก แล้วเดี๋ยวนี้ประชาชนนะ แบบว่าโลกเป็นใหญ่ พอว่าโลกเป็นใหญ่ ต่างคนก็ต่างเขียนหนังสือมาขาย ใครเขียนหนังสือได้ลึกซึ้ง โอ้โห คนนั้น เราต้องคิดว่ามันเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ อย่างเช่น ความเป็นอยู่ของแหล่งน้ำ อย่างดำเนินนี่ เขาพายเรือบิณฑบาตนะ เป็นอาบัติไหมละ ตามภูมิภาค ตามที่มันบังคับอยู่ แล้วเขาบอกว่าอย่างงั้นผิดอย่างงี้ ถ้าเถียงกันเรื่องผิดเรื่องถูก มันยังไปอีกไกลนะ ถึงบอกว่ามหาปเทส ๔ สิ่งใดที่พระพุทธเจ้ายังไม่ได้บัญญัติ แต่มันเข้าบัญญัติได้ ถือว่าสิ่งนั้นบัญญัติ สิ่งใดที่บัญญัติแล้ว แล้วเข้าได้ก็ถือว่าให้บัญญัติไป อันนี้ต้องมีมหาปเทส ๔ เข้ามาหนุนด้วย

ถาม : เรียนถามหลวงพ่อตอนนี้เดินท่องพุทโธก่อนนั่งสมาธิรู้สึกว่าดีครับ แต่พอนั่งสักหนึ่งชั่วโมงแล้ว รู้สึกหายไป แต่จิตยังนึกพุทโธอยู่ อาการอย่างนี้ภวังค์หรือเปล่าครับ แล้วควรทำอย่างไรต่อไป

ตอบ : อันนี้มันเป็นเรื่องภาวนาแล้วนะ เรื่องภาวนา เดินท่อง พุทโธ ๆ ไป ก่อนนั่งสมาธิ ดีมาก เพราะเรา แบบว่า เขาเรียกวอร์มร่างกายก่อน เรา พุทโธ ๆ ไป เราเดินจงกรมสักพักหนึ่งแล้วเราไปนั่ง บางคนก็นั่งก่อนแล้วค่อยมาเดิน เดิน ยืน นั่ง นอน มันเป็นอิริยาบถ อิริยาบถ ร่างกายมันมีการขบเมื่อยของมัน แต่ที่เราทำกันอยู่นี่เราไม่ใช่เอาร่างกาย เราเอาจิตใจ เราต้องเอาจิตใจไว้อำนาจของเรา แล้วจิตใจของเรานี่มันเป็นนามธรรมที่มันเร็วกว่าแสงมันไปได้ทั่ว พลังงานมันไปได้ทั่ว พุทโธ ๆ นี่ ให้แสงนี้เกาะไว้ที่พุทโธนั้น ให้พลังงานเกาะไว้ที่พุทโธนั้น แสงหรือพลังงานนี้ไม่พุ่งออกเร็วเกินไปนัก พุทโธ ๆๆ นี่เพื่อให้แสงมันย้อนกลับมาเป็นตัวของมันนา ถ้าย้อนกลับมาของตัวมันนี่เป็นตัวสมาธิ

ตัวสมาธิคือตัวจิต พลังงานที่ไม่ได้คิด พลังงานที่ไม่ได้คิดพลังงานเฉย ๆ นิ่ง จะมีความสุขมาก พอนั่งไปสักครึ่งชั่วโมง แล้วเกิดมีความรู้สึกหายไป ความรู้สึกหายไปนี่ ความรู้สึกหายไป จะว่าภวังค์ไหม มันก็มีส่วน มีส่วนหมายถึงว่า สติมันไม่สมบูรณ์มันจะขาดหายไป การขาดหายไปไม่ได้ การกระทำงานทุกอย่าง เห็นไหม เวลาพลังงานที่มันไป เนี่ย มันจะขาดไม่ได้ ถ้ามันกระตุก เห็นไหม ไฟมันกระตุกไม่ได้เลย ไฟมันต้องไปตลอด จิตนี้มันจะไปของมัน

ถ้ามันแว้บหายไป คือมันขาด ถ้าเป็นคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์มันกระตุกละ ไฟมันจะนิ่งของมันไปตลอดนี้เป็นภวังค์ไหม ถ้าเป็นภวังค์มันจะหายไปเลย หายไปเลย แล้วพอมารู้ตัวอีกทีหนึ่ง ถ้ามันหายไปเลยเราตั้งสติใหม่ การทำงานทุกคนจะมีความผิดพลาด ทำงานกันทุกคนจะมีผิดพลาดบ้าง ไม่ใช่ทำงานทุกคนแล้วจะถูกต้องไปหมด มันต้องมีการฝึก นักกีฬาจะฝึกตลอดเวลา นักกีฬาต้องซ้อมตลอดเวลา แล้วเท็จจริงต่าง ๆ มันจะไปอีกทีหนึ่ง

นี่พูดถึงว่า พุทโธ ๆ ๆ จะตกภวังค์ไหม ต้องคุยกันรายละเอียดอีกนิดนึง ถ้าตกภวังค์แล้วทุกอย่างแก้ไขได้ เราจะบอกว่าถึงตกภวังค์ไม่ตกภวังค์ ไม่ต้องเสียกำลังใจ ทำแค่นี้ก็นับว่าเก่งแล้ว เก่งหมายถึงว่า การเดินจงกรมการนั่งสมาธิภาวนา เราเป็นชาวพุทธ ชาวพุทธโดยเนื้อหาสาระ เป็นชาวพุทธโดยพิธีกรรม เป็นชาวพุทธแต่เราไม่เคย เหมือนอาหารตั้งไว้เต็มเลย ทุกคนไม่เคยได้กินเลย ทุกคนไม่รู้จักความสงบของใจ ทุกคนไม่ได้สัมผัสธรรมะเลย

ธรรมะคือพุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อยู่ในหัวใจ เราไม่เคยสัมผัสเลย เราไปสัมผัสแต่สิ่งที่กระทบจากข้างนอก ถ้าใครทำอย่างนี้ ชาวพุทธโดยเนื้อหาสาระ ชาวพุทธโดยเนื้อหาสาระต้องได้สัมผัสธรรมะบ้าง เราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า เราควรได้รสชาติของธรรมบ้าง ไม่ใช่ว่าเป็นแต่พิธีกรรมเฉย ๆ ฉะนั้นทำขึ้นมานี่ดีแล้ว แล้วแก้ไขอย่างไรนี่ว่ากันทีหลังเนาะ

ถาม : ศาสนาครบห้าพันปี เมื่อศาสนาครบห้าพันปีตามพุทธทำนายแล้วพระบรมสารีริกธาตุจากทั่วแดนจักรวาลจะเสด็จมารวมกันแล้วประชุมกันเข้าเป็นพระพุทธองค์จากนั้นเตโชธาตุจะเผาผลาญให้หมดไปนับจากนั้นศาสนาจะสูญสิ้นไปอยากเรียนถามว่าจะมีการแสดงธรรมแก่เทวดาผู้เป็นสัมมาทิฐิหรือไม่ บางท่านบอกว่าไม่มี เพราะธาตุขันธ์ทั้งห้าของพระองค์ไม่มีแล้ว

ตอบ : ถูกต้อง อันนี้เห็นด้วย มันมี พูดถึงเรื่องกรรม เด็ก ๆ เรื่องกรรมเนี่ย ที่เราพูด ๆ ไป เราหยอด ๆ ไว้เฉย ๆ หยอด ๆ ไว้ อยากให้กลับไปคิดไง วันนี้เราพยายามจะหยอดไปให้ใจมันมีปมต่าง ๆ แล้วไปศึกษากัน พูดถึงนี่ เราจะยกพระกัสสปะ พระกัสสปะนี่ นิพพานแล้ว แต่ซากศพของพระกัสสปะยังไม่ได้เผา รอพระศรีอริยเมตไตรย พระศรีอริยเมตไตรยนี่จะมาตรัสรู้ แล้วจะเอากระดูกของพระกัสสปะมาเผาบนมือพระศรีอริยเมตไตรย เนี่ย พระพุทธเจ้าพุทธทำนายไว้ ทีนี้ นี่พูดถึงจะมาเผาอันนั้น แต่ย้อนกลับมาที่เตโชธาตุจะมาเผา ถูกต้อง

เพราะเวลาจะหมดศาสนานี่นะเวลาพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปจะมาตรัสรู้นี่ มันจะต้องไม่มีสัญลักษณ์ของศาสนาองค์เดิมเลย แล้วพระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้ ที่ว่าโลกร้อน ๆ จะมีการเปลี่ยนแปลงเนี่ย โดยธรรมชาติมันจะเป็นอย่างงี้ โลกนี้เป็นอจินไตย โลกนี้ไม่แตกหรอก โลกนี้จะเป็นอย่างงี้ แต่โลกนี้จะปรับสภาพเป็นทวีป เมื่อก่อนเป็นทวีปเดียว แต่เห็นไหม มันแตกออกไป ต่อไปโลกมันจะปรับสภาพของมัน พอปรับสภาพแล้วมันจะเป็นป่า เป็นอะไรต่าง ๆ ขึ้นมานี่ อุดมสมบูรณ์ขึ้นมา พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ตอนนั้น

มันจะปรับสภาพของมันโดยธรรมชาติ ธรรมชาติเพราะอะไร ธรรมชาติเพราะมนุษย์ ของเสียจากมนุษย์มันทำลายชั้นบรรยากาศมากกว่าของเสียจากอุตสาหกรรม มนุษย์นี้มีกี่พันล้าน แล้วมนุษย์จะฆ่ามนุษย์ไหม แล้วมนุษย์จะเกิดต่อไปไหม นี้มันไปพูดกันตอนนั้นไง มันเป็นไปโดยธรรมชาติ มันเป็นไปโดยข้อเท็จจริง เพราะมนุษย์ แล้วมนุษย์จะส่งต่อให้ลูกหลานนะ ต้องการให้โลกนี้ เขาคิดกันนะ นี้พูดถึง อันนี้เห็นด้วย

ถาม : เวลาเดินจงกรมที่ถูกต้อง จะต้องเอาสติไว้ที่ไหนครับระหว่างที่เท้าที่ก้าวย่างไปมาหรือที่ฐานจิตคือที่ปลายจมูกที่ลมหายใจ มากขนาดไหนอยากทำแต่ไม่รู้วิธีที่ถูกต้อง

ตอบ : เดินจงกรมนะ มันมีหลายวิธี คำว่ามีหลายวิธีนี่ แบบว่า จริตนิสัย เพราะเมื่อก่อนเราไม่เห็นด้วยกับการเอาพุทโธไปไว้ที่เท้า บางคนเท้าซ้ายพุทธ ขวาโธ มันชัดเจนมากจริงๆ ซ้ายพุทธ ขวาโธ มันแบบว่ารูปธรรมที่เรา การทำที่เป็นรูปธรรม มันจะอยู่ได้ง่าย แต่สำหรับเรานะ ครูบาอาจารย์หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์เราสอนว่าให้เอาพุทโธไว้ที่ปลายจมูก แล้วเท้านี่ให้เดินไปโดยธรรมชาติ ให้เท้านี่เดินโดยธรรมชาติ

โดยบางลัทธิ เห็นไหมเขาบอกว่าเดินจงกรมนี่ เขาต้องให้ระลึกรู้เขากลัวจะเน้นวิปัสสนา เห็นไหม ต้องระลึกรู้ เนี่ย เหมือนกับเรา ตอนนี้เป็นนักเรียนแล้วบอกเลยเราอยากจบ เราอยากได้ปริญญา อยากได้หมดเลย มันไปสร้างไว้ก่อน แต่เราข้อเท็จจริงได้หรือยัง แต่ถ้าเราเรียนของเราไปนี่ เราจบเกินปริญญาด้วย นี่ก็เหมือนกันเวลาภาวนาไป ข้อเท็จจริงมันเกิด มันเกิดตามนั้น ไม่ใช่ไปสร้างว่าต้องอย่างงั้น ๆ มันเหมือนรูปมันเป็นกรอบที่ไปครอบงำจิตไว้ ฉะนั้นเวลาภาวนาไปนี่ ให้เท้าเดินไปตามปกติ แล้วเท้าเดินไปปกติ บางคนเดินช้าเดินเร็ว เห็นไหม อากาศร้อนวิ่งผ่านไปเลย ถ้าอากาศเย็นเราเดินสบาย ๆ ก็ได้ ถ้าจิตเรานุ่มนวลเราเดินปกติก็ได้ แต่ถ้าจิตมันมีผลกระทบมาก เราก็ต้องเดินให้มันเข้มแข็ง เดินให้มันแรงขึ้นมา เพื่อสติมันพร้อม

แล้วสติมันอยู่ที่ไหน สติมันกลับมาที่จิต พุทโธ ๆ ๆ ทุกอย่างนี่ มันจะสงบที่จิตหมด ทีนี้สงบที่จิตแล้วนี่ การทำวิธีที่ถูกต้อง วิธีที่ถูกต้องหมายถึงว่าใครทำแล้วได้ผล วิธีที่ถูกต้อง เราบอกเลยนะวิธีของเราถูกต้องที่สุดเลย นั่งบนกลางไฟเนี่ย จุดไฟเผาไว้แล้วนั่งบนกลางไฟเลยถูกต้องที่สุดเลย แล้วใครมันจะทำบ้าง วิธีที่ถูกต้องของใคร วิธีที่ถูกต้อง เราเป็นคนพิการ ขาเราเสียเราเดินไม่ได้แล้วเราจะมีวิธีที่ถูกต้องที่ไหน วิธีที่ถูกต้องหมายถึงว่า ทำแล้วได้ผล แล้ววิธีของคน บางคนถนัดเดินจงกรม บางคนถนัดนั่ง บางคนถนัดต่างๆ บางคนถนัดเดินเร็วเดินช้า

วิธีที่ถูกต้องคือมันสมดุลของมัน แล้วจิตมันลงสมาธิ แล้ววิธีที่ถูกต้องของใคร งั้นอย่างที่ว่า การเดินจงกรม วิธีที่ถูกต้อง ไม่ต้องไปเกร็งว่าของใครถูกของใครผิด ขอให้ทำแล้วมันได้ผล แล้วมันได้ผลขึ้นมาแล้วนี่ เหมือนอาหาร เรากินอาหารแล้วต้องกินอาหารเพื่อดำรงชีวิต แล้วอาหารนี้มีพิษไหม อาหารนี้เราจะแก้ไขอย่างไร อาหารนี้รสจัดเกินไป เราจะแก้ไขอย่างไรให้รสมันเจือจางอย่างไร

การนั่งสมาธิการเดินจงกรม จิตใจมันมีอุปสรรคอย่างไร แล้วแก้ไขกันตามนั้น ทีนี้เวลาเดิน ดูสิ กรรมฐาน ๔๐ ห้อง วิธีการมันมี ๔๐ห้อง วิธีของปัญญาไม่มีขอบเขต ถ้ามีขอบเขตกิเลสมันหลบทันทีเลย กิเลสเอาตรงนั้นมาอ้างทันทีเลย อย่างนี้เป็นปัญญาแล้ว แล้ววิธีของปัญญามันจะไล่หมดเลย ไม่มีเหลือบ ไม่มีที่ให้กิเลสซุกเลย ต้องชำระจนสะอาดหมด อันนั้นขั้นของปัญญาไม่มีขอบเขต ต้องเรียบหมดเลย แต่ขั้นของสมาธิมันตรงกับจริตนิสัย ตรงกับความชอบของตัว

ถาม : ถามหลวงพ่อการทำสมาธิในการพิจารณากาย มีขั้นตอนในการทำอย่างไร การพิจารณาจิตมีขั้นตอนอย่างไร

ตอบ : มันไม่มี การพิจารณากาย อย่างที่หลวงปู่เจี๊ยะสอนให้จิตเดินในกาย การพิจารณากาย การพิจารณากายเห็นมะ ระลึกถึง เราคิดถึงผิวหนัง คิดถึงการลอกผิวหนัง ลอกผิวหนังออกไปแล้วมันจะเหลืออะไร เห็นไหม เราเอาตรงนี้เป็นที่ตั้ง จิตมันคิดมันอยู่กันตรงนี้ อยู่ตรงนี้มันก็เป็นสมถะหมด

การพิจารณากายทั้งหมด ผลของมัน ผลของมันเป็นสมถะ เพราะจิตเรายังไม่เป็นสมาธิ แต่ถ้าจิตเราเป็นสมาธิ พิจารณากายซ้ำเข้าไปนี่ มันจะวิปัสสนา วิปัสสนาโดยขั้นตอนของมันเลย พิจารณากายโดย เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ พระบวชนี่ เห็นไหม ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ๆ มันก็ไปคล้องกับพุทโธ ๆ ๆ ๆ ๆ ก็พุทโธอันหนึ่ง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มันก็แทน พุทโธ ๆ ไง เราไปคิดถึง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ๆ แล้วนึกพุทโธ นึกถึงมรณานุสสติ นึกถึงความตาย นึกถึงความตาย แต่แล้วเรานึกถึง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นึกถึงกาย นึกถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

ถ้าจิตมันสงบนะ มันเห็นภาพมันสะเทือนมาก นี้เรายังไม่เห็นภาพการพิจารณากาย วิธีทำสมาธิโดยการพิจารณากายทำอย่างไร ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนี่ย พูดถึงผม ผม หลวงปู่กิมนะ ท่านพิจารณาผม ผมเส้นหนึ่ง พอจิตมันสงบแล้วนะ ผมเส้นหนึ่ง ผมเนี่ยขยายตัวออกเป็นท่อนซุง ฟังแล้วตกใจไหม

ผมเส้นหนึ่งนะ มันเป็นนิมิตไง เป็นอุคคหนิมิตแล้วขยาย วิภาคะขยายส่วน ผมนี่ขยายออกเหมือนท่อน้ำเลย ในเส้นผมนั้นมันจะมีที่เลี้ยงอาหารของมัน นี้ท่านพิจารณาของท่านได้ เห็นไหม นี่พูดถึงเวลาถ้ามันเห็นของมัน พอจิตมันสงบแล้วนี่ ถ้าพิจารณากาย ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ๆ เนี่ย มันพิจารณามันเป็นคำท่อง คำท่องให้จิตสงบ พอจิตมันสงบแล้วพิจารณากายซ้ำเข้าไปนี่ มันจะเห็นวิภาคะ คือมันขยายส่วน มันขยายส่วนจนเราตกใจ จนเราคาดหมายไม่ได้ อย่างเช่นร่างกายนี่ ขยายพั้บ เน่าหมดเลย เออ แล้วกูเหลืออะไร กูเหลืออะไร แล้วเหลืออย่างไร มันจะเข้ามาลบล้างข้อมูลของจิตทั้งหมด มันจะมาลบล้างว่าของกู ๆ ๆ ๆ มันลบล้างหมดเลย

นี่ ธรรมะเป็นอย่างงี้ แล้วเป็นอย่างงี้ต้องไปถามความจริง แล้วพูดอย่างนี้ คนอัดเทปไว้เลยนะ แล้วพูดให้เหมือนเลย มันจะละลายหมดเลย ละลายก็น้ำแข็งไง น้ำแข็งมันก็ละลาย คนไม่เป็นนะพูดคำเดียวกันนะคือไม่ใช่ ถ้าคนเป็นมันพูดคำเดียวกัน มันมีข้อเท็จจริงรองรับ แล้วถ้าข้อเท็จจริงที่รองรับนี่ มันเอาไปอธิบายต่อขยายความได้ เราทำอาหารเป็น อาหารที่ทำทุกวันนี่ ชำนาญ ถ้าใครทำผิด ทำถูกรู้เลย เราชิมอาหารเรารู้เลยว่าขาดอะไร อาหารที่ทำมานี่ขาดอะไร รสชาติเป็นอย่างนี้ เพราะมันขาดส่วนประกอบของอะไรบ้าง จิตที่มันวิปัสสนาไป ถ้ามันไม่มีข้อเท็จจริงรองรับ มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันจะมีข้อเท็จจริงของมันรองรับ ถ้าคิดอย่างงั้น การพิจารณากายนะ พิจารณากายไป การพิจารณากายโดยทำความสงบของใจ

การพิจารณาจิตมีขั้นตอนอย่างไร การพิจารณาจิตนี้สำคัญมาก การพิจารณาจิต สิ่งที่เคลื่อนที่ได้เร็วที่สุดคือแสง จิตคือสิ่งที่เคลื่อนที่ได้เร็วที่สุด แล้วไม่เห็นมัน เห็นมันได้ก็เพราะแต่มีความคิดเห็นมันได้ก็เพราะมันไปเกาะอะไรไง ไปเกาะถึงเรื่องสิ่งใดก็ทุกข์ ทุกข์สิ่งนั้นก็จับสิ่งนั้นมาพิจารณาไง เขาเรียกปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมความคิด

พอมันไล่ความคิดไปนะพอมันทันนะ สติปัญญามันทันนะ มีอยู่ข้อเดียวเท่านั้น มึงโง่ๆ ๆ ๆ มันจะติตัวเองว่า มึงโง่ ๆ เพราะอะไร เพราะมึงลากกูไปทุกข์ฉิบหายเลย ความคิดกูลากกูไปทุกข์ฉิบหายเลยล่ะ มันจะกลับมาตรงนี้เลยนะ มึงโง่ ๆ ๆ พอมึงโง่แล้วมันก็ปล่อย มันฉลาดใช่ไหม ฉลาดก็ไม่จับไฟใช่ไหม พอปล่อยไฟปั๊บ มือก็มือเปล่า มีสิ่งใด ไม่มีไฟ พอมาจับ จิตจับความคิดไง ความคิดเกิดดับ ความคิดเกิดจากจิต ไม่ใช่จิต แล้วจิตมันคืออะไร แล้วมันเกิดมานี่เราไปยึดมันทำไม ไฟไปยึดมันทำไม ถ้าปัญญามันทันมันทิ้งเลยนะแล้วบอกกูโง่ ๆ ๆ เห็นไหม จิตมันสงบเข้ามาเรื่อย ๆ นี่คือการพิจารณาจิต

แล้วพอจิตมันส่งออกไปแล้วนี่ มันเห็นอาการของจิต คือจิตเห็นความคิด ความคิดกับจิต มันส้มกับเปลือกส้ม ส้มกับเปลือกส้ม ไปซื้อส้มเมื่อไหร่ ต้องมีเปลือกมาด้วย แต่ไม่เคยกินเปลือกส้มเลย ใครซื้อส้มมาก็ปอกเปลือกทิ้งหมด แต่ส้มมันต้องมีเปลือก จิตมันเป็นตัวส้ม ความคิดเป็นเปลือกมันจะอยู่ของมันตลอดไปแล้ววิปัสสนาไป มันปอกเปลือกได้ เพราะปอกเปลือกได้มันเป็นสมาธิเห็นไหม พอเป็นสมาธิแล้วนี่ เปลือกกับส้มมันต้องอยู่ด้วยกัน ความคิดมันดับขนาดไหน เดี๋ยวก็เกิดอีก พอมันกระทบกัน มันก็มีปัญญาของมันขึ้นมา วิปัสสนาเกิดตรงนี้ วิปัสสนาจะเกิดตรงนี้ เห็นไหม วิปัสสนาเกิดตรงนี้ เห็นไหม การกระทำอย่างนี้มันจะเกิดขึ้น ทีนี้จะเป็นวิปัสสนาขึ้นมา

ฉะนั้นบอกว่าการพิจารณาจิต ขั้นตอนของมัน ถ้าพูดอย่างนี้นะ มันก็เหมือนกับว่า เราจะ สร้างระบบระบอบไว้ แล้วเราต้องเป็นอย่างงั้น เหมือนกับเราผ่าน เดินผ่านเข้ามานี่ ผ่านวัดนี้แล้วปฏิบัตินะ เป็นพระอรหันต์หมดละ ไม่ได้ เวลาขั้นของปัญญา มันอยู่ที่พันธุกรรมทางจิต คำว่าพันธุกรรมนี่นะ มันเป็นบาปเป็นกรรม เป็นบาปเป็นกรรมมันเป็นความเห็น มันเป็นอารมณ์ ความรู้สึก อะไรที่มันแทงใจ ของชิ้นหนึ่งบางคนอาจสะเทือนใจมากจนน้ำตาไหลเลย บางคนเห็นแล้วนะไม่สะเทือนเลย เห็นไหม มันแตกต่างกัน ถึง..

ถ้าเราเอาไปคิดเป็นขั้นตอนอย่างงี้ปั๊บ มันจะหลอกตัวเองไง เราจะบอกว่าขั้นตอนนี้นะ ถ้าขั้นตอนในการปฏิบัติ ไม่มี มันจะไปมีขั้นตอนประสบความสำเร็จ ตอนประสบความสำเร็จจะมีขั้นตอน เนี่ย เรียนจนตายเลยนะ จบนะไปรับกระดาษคนละใบ ๆ จบตอนได้กระดาษนั่น ถ้าใครได้กระดาษนั้นมานะ ชั้นจบแล้วไง เอากระดาษนั้นไปสมัครงานที่ไหนก็ได้ไง ถ้าไม่ได้กระดาษใบนั้นมานะ เรียนไม่จบ

นี่ก็เหมือนกันขั้นตอนของมันอยู่ตอนรับกระดาษนั้น ขณะจิตที่มันเป็นโสดาบัน สกิทาคา อนาคา เนี่ย ขั้นตอนอย่างงี้มี แต่ขั้นตอนในการเรียน การเรียนมีเวลาครบไม่ครบ คนโดดไม่โดด เห็นไหม ขั้นตอนมันแตกต่างกันเยอะแยะเลย บางคนขยันเรียน แล้วขั้นตอนของใครถูก นี่เราห่วงตรงนี้ไง ถ้าห่วงตรงนี้ปั๊บ แล้วขั้นตอนอย่างนี้ปั๊บเราจะสร้างระบบขึ้นมา แล้วเราจะทำจิตเราให้เป็นแบบนั้น แล้วบอกเราสำเร็จแล้ว ไม่ใช่ ๆ ขั้นตอนของมันมีตอนจบ มีตอนที่มันสิ้นกระบวนการของมัน มีขณะจิตที่เป็นตามนั้น นั่นคือขั้นตอนของมัน ขั้นตอนมี แต่มีตอนสิ้นขบวนการ เขาเรียกขณะจิตที่มันเปลี่ยนจากโสดาบันเป็น จากปุถุชนเป็นโสดาบัน จากโสดาบันเป็นสกิทาคา อนาคา เนี่ย ขั้นตอนของจิตกับระดับจิตนี้แตกต่างกันนะ อริยะบุคคลแตกต่าง หยาบละเอียดแตกต่างกันเยอะมากเลย แล้วแตกต่างกันอย่างไร มันต้องมีของมันสิ คำว่าแตกต่าง ๆ แล้ววัดกันได้ไง มันวัดกันได้กับผู้รู้กับผู้รู้ ถ้าผู้รู้เป็นจริงแล้วนี่ ธรรมสากัจฉา เอตัมมังคะละมุตตะมัง การสนทนาธรรม การพิจารณาธรรมขึ้นมาเนี่ย มันเป็นมงคลกับชีวิตมาก

นี่พูดถึงการวิปัสสนา เห็นไหม การทำในศาสนา ศาสนาจริง ๆ เกิดจากตรงนี้ไง ไม่ได้เกิดที่พระพุทธรูป ไม่ได้เกิดที่ตู้พระไตรปิฎก ตู้พระไตรปิฎกปลวกมันกินหมดแล้วนะ ถ้าปลวกมันกินเข้าไปแล้วนะมันเป็นพระอรหันต์ กราบปลวก ปลวกมันกินหมดทั้งตู้ แต่มันเป็นข้อเท็จจริงที่จิต จิตปฏิบัติ จิตฝึกหัดแล้วจะเป็นจริงตามนั้น เอวัง